21 กฎทองของผู้ประกอบการ

กฎข้อที่ 1 หาช่องว่างทางธุรกิจและเติมช่องว่างนั้น (Find a vacuum and fill it)
หาโอกาสทางธุรกิจที่เกิดขึ้นเนื่องจากธุรกิจที่มีอยู่ไม่สามารถสนองตอบต่อความต้องการของผู้ซื้อได้หรือหาทางเพิ่มค่าให้แก่ผู้ซื้อ ให้สูงกว่าที่ผู้ขายเดิมเสนอให้ ธุรกิจจะเกิดขึ้นไม่ได้ ถ้าไม่มีผู้ซื้อที่ต้องการสินค้า หรือบริการนั้นๆ

กฎข้อที่
2 ทำการบ้าน (Do you home work)

เมื่อคิดได้ว่าจะทำธุรกิจอะไร ผู้ประกอบการจะต้องทำการบ้านด้วยความระมัดระวังและรอบคอบซึ่งก็คือการวิเคราะห์สภาพแวดล้อมตลาดว่าจะเริ่มต้นอย่างไร ดังนั้นแทนที่ Bill จะเปิดร้าน Pizza Hut ร้านแรกในกรุงเทพ เขากลับเปิดร้านแรกที่เมืองพัทยา เพราะหลีกเลี่ยงคู่แข่งขันประการหนึ่ง และอีกประการหนึ่งคือ นักท่องเที่ยวและทหารเรืออเมริกันที่ใช้เมืองพัทยาเป็นที่พักผ่อนจากสงครามเวียดนาม จะเป็นฐานลูกค้าที่สำคัญเพราะบุคคลเหล่านี้คุ้นเคยกับ Pizza ซึ่งประกอบด้วยแป้งและเนยแข็ง มากกว่าคนไทยในสมัยนั้น

กฎทองคำ 8 ข้อในการเก็บเงินไว้เพื่อวัยเกษียณ

กฎทองคำ 8 ข้อในการเก็บเงินไว้เพื่อวัยเกษียณ
สวัสดีครับ
หนังสือพิมพ์ The Nation ฉบับวันที่ 2 พฤษภาคม 2551 ลงบทความเรื่อง The eight golden rules ซึ่งเป็นคำแนะนำสำหรับทุกคนในการเก็บเงินไว้เพื่อวัยเกษีนณ ดังนี้ครับ

First, start planning.
ข้อ 1- เริ่มวางแผน

Second, start saving now.
ข้อ 2- เก็บเงินตั้งแต่ตอนนี้

Third, avoid big debts.
ข้อ 3- อย่างสร้างหนี้ก้อนโต

Fourth, don't buy too big a house.
ข้อ 4- อย่าซื้อบ้านหลังใหญ่เกินไป

Fifth, don't follow your friends' investment choices.
ข้อ 5- อย่าลงทุนตามเพื่อน

Sixth, don't invest in something you don't know.
ข้อ 6- อย่าลงทุนในเรื่องที่ตัวเองไม่รู้

Seventh, diversify.
ข้อ 7- ลงทุนให้หลากหลาย

Lastly, manage your personal income taxes wisely.
ข้อ 8- จัดการเรื่องภาษีเงินได้ส่วนบุคคลด้วยวิธีที่ฉลาด

อ่านบทความฉบับเต็บที่ลิงค์นี้ครับ น่าสนใจทีเดียว
http://home.dsd.go.th/freeenglish/The_eight_golden_rules.htm

โดย
คุณพิพัฒน์
http://english-for-thais.blogspot.com/2008/05/183-8.html

กฎทองคำสู่ความสำเร็จ สูตรของ Dr. Napoloen Hill


กฎทองคำสู่ความสำเร็จ สูตรของ Dr. Napoloen Hill

พอดีได้อ่านเจอบทความดีๆจาก blog ๆ หนึ่ง เห็นว่ามีคุณค่าเลยนำมาฝากกัน ต้องขอขอบคุณเจ้าของ blog นั้นด้วย
ซึ่งได้เขียน ดังความว่า ...

"เล่าจากประสบการณ์ที่ตัวเองเรียนรู้และ/หรือได้ปฏิบัติได้ผลมาบ้างแล้ว เที่ยวนี้นำเสนอยกเอาสูตรสำเร็จตามแนวปรมาจารย์เมืองนอกเมืองนามาอ้างบ้างนะคะ อิอิ
Dr. Napoloen Hill ผู้เขียนหนังสือชื่อดัง ‘Think and Grow Rich’ ได้ทำการศึกษาเกี่ยวกับความสำเร็จของบุคคลชั้นนำในโลกจากกว่า 100 สาขาอาชีพ และท่านได้สรุปออกมาเป็นกฎทองคำ 16 ข้อ (The Law of Success in Sixteen Lessons) ดังนี้


1.มีจิตสำนึกที่ดีในการทำงานเป็นTeamwork (The Master Mind)
2.มีการตั้งเป้าหมาย (A definite Chief Aim)
3.มีความเชื่อมั่นในตนเองสูง (Self-Confidence)
4.มีนิสัยประหยัด (The Habit of Saving)
5.มีความคิดริเริ่มและการเป็นผู้นำ (Initiative and Leadership)
6.มีจินตนาการล้ำเลิศ (Imagination)
7.มีความกระตือรือล้น (Enthusiasm)
8.มีการควบคุมตนเองที่ดี (Self-Control)
9.ทำงานด้วยจิตวิญญาณ ไม่ใช่หวังผลตอบแทนอย่างเดียว (Habits of Doing More Than Paid For)
10.มีบุคลิกดี น่าเชื่อถือ (Pleasing Personality)
11.มีวิจารณญาณที่ดี (Accurate Thought)
12.มีสมาธิมุ่งมั่นในการทำสิ่งใดให้สำเร็จ (Concentration)
13.รักสามัคคี (Co-operation)
14.เรียนรู้จากความผิดพลาด (Failure)
15.เปิดใจกว้าง (Tolerance)
16.คิดแต่ว่า ‘เราทำได้’ (The Golden Rule)

มีรายละเอียดให้ศึกษาจากหนังสือของท่านมากมาย แต่ไม่มีข้อไหนบ่งบอกว่าต้องทำงานเก่งเลยนะคะ ทุกข้อล้วนเป็นเรื่องของจิตใจ พฤติกรรม คุณธรรมของผู้บริหาร เห็นไหมคะ ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะบุคคลที่ Dr. Napoloen Hill ศึกษานั้นผ่านขั้นตอนเหล่านั้นมาแล้ว และอยู่ในห้วงของความสำเร็จในฐานะผู้บริหาร หรืออยู่ในจุดสูงสุดของอาชีพแล้ว คนกลุ่มนี้เด่นขึ้นมาด้วยความสามารถ ด้วยวิสัยทัศน์ ด้วยคุณธรรมการบริหาร (สำหรับเรื่องนี้ คาดว่าอาจจะหายาก ใช่ว่าจะมีในทุกคนเสมอไปใช่ไหมคะ เราถึงต้องรณรงค์กันอย่างหนัก ฮิฮิ) ด้วยบุคลิกเฉพาะตัว และด้วยจิตวิญญาณ ดังนั้นพวกเราอย่าหลงประเด็นไปว่า ไม่ต้องทำงานเก่ง หันมายึดกฎทองคำนี้แล้วจะประสบความสำเร็จได้ค่ะ


เราอาจมองความสำเร็จเป็นขั้นบันได 4 ขั้น


1. ผู้มีความสามารถยอดเยี่ยม พบได้ในตัวพนักงานดีเด่นในองค์กรของคุณ
2. ผู้ประสานยอดเยี่ยม พบได้ในตัวผู้บริหารโครงการหรือผู้นำทีมดีเด่น อาจจะไม่ต้องถึงกับเป็นตำแหน่งสูงสุดของทีมก็ได้ แต่เป็นผู้ที่สามารถประสานงานกับคนต่างสังกัด หลากหลายความชำนาญให้มาทำงานหรือกิจกรรมร่วมกันได้
3. ผู้เชี่ยวชาญยอดเยี่ยม พบได้ในตัวผู้ที่ประกอบวิชาชีพเฉพาะทางที่เชี่ยวชาญอย่างหาตัวจับยาก อย่างนักกฎหมาย นักบัญชี/ภาษี โปรแกรมเมอร์
4. ผู้นำองค์กรยอดเยี่ยม พบได้ในตัว CEO CFO COO CIO หรือบุคคลทั้งหลายที่สามารถชี้เป็นชี้ตายองค์กรได้

ขั้นที่หนึ่งทุกคนต้องผ่านทั้งนั้น ไม้ต้องถึงขนาดยอดเยี่ยมหรอกค่ะ ขอเพียงเรียนรู้วิธีแล้วทำให้สุดความสามารถของเรา ส่วนขั้นที่สองนั้นเป็นขั้นเตรียมพร้อมของคุณที่จะก้าว ก้าวไปข้างๆก็ไปขั้นที่สาม ก้าวขึ้นตำแหน่งก็ขั้นทีสี่ บางครั้งก้ต้องก้าวขึ้นก่อนสัดนิดแล้วค่อยไปขั้นที่สามตามใจปรารถนา หรือจะมุ่งเดินลิ่วๆไปสู้ขั้นสูงสุดก้แล้วแต่แรงปรารถนา แรงสนุบสนุน และ/หรือโชค ก็แล้วแต่กันล่ะค่ะ จำหลักง่ายๆไว้ ‘เรียนรู้ เข้าใจ ลงมือปฏิบัติ ทบทวน แก้ไข เพื่อก้าวไปสู่ความสำเร็จ”

กฎ 16 ข้อของ Dr. Napoloen Hill นั้นนำมาใช้ได้กับทุกขั้นของความสำเร็จนะคะ เพียงแต่ว่า แต่ละขั้นนั้นจะต้องเน้นคุณลักษณะเด่น ที่แตกต่างกันไปแล้วคุณลักษณะส่วนที่เป็นของผู้นำก็จะค่อยๆแสดงตัวเด่นชัดขึ้นๆ พูดตรงๆก็คือ นิสัยต่างๆที่อยู่ในกฎทองคำนั้น ไม่ใช่อยู่ดีๆจะสร้างกันขึ้นมาในวันสองวัน แต่มันต้องอยู่ในตัวของบุคคลคนนั้นมาแต่ต้นแล้ว จะมากหรือน้อยก็ตามที ทางลัดก็คือ เรียนรู้แล้วสร้างสมเอาไว้ แล้วเราจะเห็นสัจธรรมด้วยตัวของเราเองว่าสิ่งเหล่านี้ดีอย่างไร ให้คุณประโยชน์ต่อเราด้านใดบ้าง ไม่ใช่เฉพาะในเรื่องค่าตอบแทน ตำแหน่งการงาน แต่ยังได้สถานะในสังคมที่เราจะยืนอยู่ได้โดยไม่อายใครแม้แต่ตัวเอง ดีไหมล่ะคะ"

ขอขอบคุณ
ที่มา : http://www.oknation.net/blog/print.php?id=10000

กฎทอง 10 ข้อของมหาเศรษฐีโลก...สู่ความสำเร็จ !!

กฎทอง 10 ข้อของมหาเศรษฐีโลก...สู่ความสำเร็จ !!

นำบทความของดร.ลักขณา ลีละยุทธโยธิน มาเก็บไว้ครับ
กฎทอง 10 ข้อของมหาเศรษฐีโลก...สู่ความสำเร็จ"By lackana


เมื่อสัปดาห์ก่อนมีเพื่อนส่งจดหมายของวอร์เรน บัฟเฟตต์ มาให้อ่าน พออ่านแล้วก็รู้สึกเลยว่าข้อมูลดีๆ แบบนี้ต้องแบ่งให้เพื่อนๆได้อ่านโดยทั่วกัน หลายท่านคงจะทราบว่าวอร์เรน บัฟเฟตต์ เคยเป็นมหาเศรษฐีอันดับหนึ่งของโลกเมื่อปี 2008 โดยมีทรัพย์สินรวมกันมากกว่า 2.2 ล้านล้านบาท แต่ในปีนี้โดน บิล เกตส์ แย่งตำแหน่งไป เพราะทรัพย์สินโดยรวมของวอร์เรน บัฟเฟตต์ ลดลงเก้าแสนล้านบาท คงเหลือ 1.3 ล้านล้านบาท ถึงแม้ทรัพย์สินของ บิล เกตส์ ก็ลดลงเช่นกัน แต่ลดลงในจำนวนที่น้อยกว่าวอร์เรน คือ ลดลงเพียงหกแสนกว่าล้านบาท ทำให้ปีนี้บิลเกตส์กลายเป็นมหาเศรษฐีอันดับหนึ่งของโลกแทน โดยวอร์เรนตกลงมาอยู่ที่อันดับสองของโลกแทน


สำหรับคนทั่วไป อย่าว่าแต่ติดอันดับเลย แค่ขอให้พอกินพอใช้ก็ถือว่าโชคดีมากแล้ว วอร์เรนได้ให้ข้อคิดเคล็ดลับความร่ำรวยของเขากับคนที่กำลังประสบความลำบากเกี่ยวกับวิกฤตการเงินขณะนี้อย่างน่าสนใจมาก เขาบอกให้ทุกคนให้พยายามทำตามกฎเหล็กเก้าข้อ ที่เป็นสิ่งที่ทุกคนรู้มาแต่โบราณ แต่มักจะลืมและไม่นำมาใช้ให้เกิดประโยชน์

กฎทอง 10 ข้อ ของมหาเศรษฐีโลก...สู่ความสำเร็จ ได้แก่

1. ต้องทำงานหนัก สำหรับวอร์เรนแล้ว เขาฟันธงเลยว่า ส่วนใหญ่แล้วการทำงานหนักจะนำผลกำไรมาให้ ในขณะที่การพูดมากแต่ไม่ทำ กลับจะนำความยากจนมาให้แทน แบบนี้เข้าตำราว่า "อย่ามัวแต่ตั้งท่าชก ให้ชกเลย" จึงจะได้คะแนนชนะการต่อสู้

2. อย่าขี้เกียจ เขาได้ยกตัวอย่างที่น่าสนใจมาก ว่า "ขนาดกุ้งมังกรตัวโตๆ ถ้ามัวแต่นอนหลับ ยังสามารถถูกกระแสน้ำพัดลอยไปได้" หมายความว่าถ้าคุณไม่ทำอะไรเลย มัวแต่รอคอยความหวัง คุณจะต้องตกอยู่ในวังวนวิกฤตการณ์ทางการเงินนี้ต่อไปอย่างแน่นอน

3. รายรับจากหลายแหล่ง ข้อนี้เป็นเคล็ดลับของมหาเศรษฐีหลายคน ไม่ใช่เฉพาะวอร์เรน เพราะการหวังพึ่งรายได้จากแหล่งเดียว ทำให้ต้องตกอยู่ในความเสี่ยงของภาวะที่ไม่แน่นอน เขาแนะนำให้ทำการลงทุนที่ฉลาดเพื่อสร้างรายได้เพิ่ม เช่นถ้าคุณเป็นมนุษย์เงินเดือน คุณควรมีรายได้ส่วนอื่นจากการลงทุนในรูปแบบอื่นๆ ที่สามารถสร้างรายรับเข้ามาในแต่ละเดือนได้ด้วย

4. ควบคุมรายจ่าย เมื่อไหร่ที่คุณเริ่มจ่ายเงินซื้อสิ่งที่คุณไม่มีความต้องการจริงๆ คุณก็กำลังตกอยู่ในความเสี่ยงที่อาจต้องขายสิ่งที่คุณต้องการมากที่สุดแทน ดังนั้นคิดและตั้งสติก่อนที่จะจ่ายเงินซื้ออะไรในชีวิตเสมอ

5.ตั้งใจออม เขาเน้นว่าเราอย่ารอเก็บออมเงินที่เหลือหลังจากที่ได้ใช้จ่ายจนพอใจ แต่เราต้องกันเงินส่วนหนึ่งของรายได้มาเพื่อเก็บสะสมก่อน แล้วจึงนำส่วนที่เหลือไปใช้จ่าย ข้อนี้ลึกมากนะคะ หลายคนมักจะเข้าใจผิด ใช้จ่ายแล้วเหลือจึงนำเข้าแบงก์ ที่จริงต้องกันออกมาออมก่อนจะไปทำอย่างอื่น

6. งดกู้ยืม คนที่กู้หนี้ยืมสินจากคนอื่น มักจะตกเป็นทาสของคนที่คุณไปกู้ยืม ดังนั้นต้องยึดหลักเศรษฐกิจพอเพียง พยายามมีชีวิตอยู่ตามอัตภาพเท่าที่เราหามาได้ อย่าไปสร้างหนี้สร้างสิน เพียงแค่ต้องการมีทรัพย์สินให้เหมือนกับคนอื่น พยายามดำรงชีวิตอยู่ตามหลักเศรษฐกิจพอเพียงของพระเจ้าอยู่หัว

7. จัดระบบบัญชี เขาใช้คำคมมาเปรียบเทียบว่า "ไม่มีประโยชน์ที่จะถือร่มกันฝน ตราบใดที่รองเท้าที่คุณสวมใส่นั้นยังมีรูอยู่ เพราะมันทำให้เปียกเหมือนกัน" นั่นคือต้องอย่าทำให้มีจุดรั่วไหลของบัญชี

8. หมั่นตรวจสอบ เขาให้ความสำคัญกับการตรวจสอบมาก เพราะว่าค่าใช้จ่ายเล็กๆ น้อยๆ จะเปรียบเสมือนรูรั่วของเรือ รูรั่วเพียงเล็กๆ แต่นานไปก็สามารถจมเรือใหญ่ทั้งลำได้ ดังนั้นอย่ามองข้ามค่าใช้จ่ายเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้ ต้องให้ความสำคัญกับค่าใช้จ่ายทุกชนิดเสมอ

9. จัดการความเสี่ยง ความเสี่ยงเป็นสิ่งที่นักธุรกิจไม่สามารถจะหลีกเลี่ยงได้ ตราบเท่าที่ยังโลดแล่นอยู่ในธุรกิจ เขากล่าวว่าเราไม่ควรจะทดสอบความลึกของแม่น้ำที่จะข้าม ด้วยขาสองข้างพร้อมๆ กัน เพราะเราอาจจมน้ำตายได้ ในการจัดการความเสี่ยงเราต้องมีแผนสำรองเสมอ ไม่มีใครสามารถทำนายอนาคตได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่เราต้องบริหารความเสี่ยงที่กำลังเผชิญอยู่อย่างชาญฉลาดที่สุด

10. บริหารการลงทุน อย่าเอาเงินทั้งหมดไปทุ่มลงทุนในสิ่งเดียวกัน เปรียบเหมือนอย่าวางไข่ทั้งหมดไว้ในตะกร้าเดียวกัน เพราะถ้าตะกร้าหล่นจะทำให้ไข่แตกหมดทุกใบ ดังนั้นเราต้องกระจายความเสี่ยง เพราะธุรกิจหนึ่งอาจจะอยู่ในช่วงขาลง แต่อีกธุรกิจหนึ่งอาจจะอยู่ในขาขึ้น ทำให้ผลประโยชน์โดยรวมยังอยู่ได้

ข้อคิดเหล่านี้ของ วอร์เรน บัฟเฟตต์ เป็นประโยชน์มากสำหรับการดำเนินชีวิตของนักธุรกิจ นักการตลาด หรือแม้กระทั่งมนุษย์เงินเดือนทั่วไป เพราะสิ่งที่เขาพูดหลายข้อก็คล้ายกับสิ่งที่ พ่อแม่ ปู่ย่าตายาย หรือครูบาอาจารย์ ของเราเคยสั่งสอนกันต่อๆ มา ดังนั้นดิฉันหวังว่ากฎทองแห่งความสำเร็จสิบข้อของวอร์เรน บัฟเฟตต์ นี้คงจะมีประโยชน์กับพวกเราทุกคนไม่มากก็น้อย ไม่ต้องเป็นมหาเศรษฐีโลกอย่างเขาหรอก แค่เพียงเอาตัวรอดจากวิกฤติเศรษฐกิจคราวนี้ก็น่าจะเพียงพอแล้ว

ที่มา : http://www.bloggang.com/viewblog.php?id=asianboy&date=19-04-2009&group=1&gblog=45

ความลับของคนรวย ที่คนรวยไม่เคยบอกคุณ

ความลับของคนรวย ที่คนรวยไม่เคยบอกคุณ

ที่มา: Forward Mail

เปิดใจให้กว้าง เปลี่ยนมุมมองใหม่ คุณพร้อมหรือยังที่จะเรียนรู้สิ่งใหม่
มันอาจจะเป็นทางเลือกหนึ่ง ที่จะเปลี่ยนคุณให้รวยขึ้นได้
ที่เราจนอยู่ทุกวันนี้ ไม่ใช่เพราะเราขี้เกียจทำงาน
แต่ที่จนเพราะเรา เข้าใจผิด อยู่แค่ 2 เรื่องต่างหาก

1. เข้าใจผิดเกี่ยวกับความหมายของ ทรัพย์สิน

2. เข้าใจผิดเกี่ยวกับความหมายของ หนี้สิน

อยากรวย ต้องทำความเข้าใจใหม่

1.ทรัพย์สิน คือ รายรับ การนำเงินเข้ากระเป๋าตังค์
2.หนี้สิน คือ รายจ่าย การนำเงินออกจากกระเป๋าตังค์

ใน 1 เดือนคุณมี รายจ่าย ออกจากกระเป๋าคุณกี่ครั้ง คุณตอบได้หรือไม่

อะไรที่คุณคิดว่าเป็น ทรัพย์สิน
ลองคิดดู แล้วคิดตามความหมายใหม่นะครับ
อะไรที่คุณคิดว่าเป็น หนี้สิน
ลองคิดดู แล้วคิดตามความหมายใหม่นะครับ

ทำไมเราถึงต้องทำงาน
เหตุที่เราต้องทำงาน มีอยู่ 2 เหตุผล

1.ความกลัว กลัวจะไม่มีกิน , กลัวจะไม่มีความสุข ,กลัวจะไม่มีรถ , กลัวจะไม่มีบ้าน , กลัวไปหมด
2.ความโลภ โลภเพื่อจะมีมากกว่าคนอื่น , เยอะกว่าคนอื่น,ใหญ่กว่าคนอื่น , แพงกว่าคนอื่น , หรูกว่า, ภูมิฐานกว่า , โลภไปทุกอย่าง

ความกลัวและความโลภเป็นสิ่งที่ดี แต่เราต้องความคุมให้อยู่ในความพอดี
สิ่งที่จะควบคุม ความกลัวกับความโลภได้นั้น คือ ความรู้

v การทำงานของคนจนและคนรวย
Ø คนจนทำงานเพื่อ นำไปสร้างหนี้สิน
§ ยิ่งกลัว ยิ่งโลภ ยิ่งทำงาน ยิ่งสร้างหนี้ ยิ่งจน
Ø คนรวยทำงาน เพื่อไปสร้างทรัพย์สิน
§ ยิ่งกลัว ยิ่งโลภ ยิ่งทำงาน เพื่อไปสร้างทรัพย์สิน
§ เพิ่มมูลค่า ยิ่งรวย
§ คนรวย มากๆ ใช้เงินทำงาน เพื่อไปสร้างทรัพย์สิน
§ ยิ่งกลัว ยิ่งโลภ ยิ่งใช้เงินทำงาน เพื่อไปสร้างทรัพย์สินเพิ่มมูลค่า แล้วนำส่วนที่ได้จากทรัพย์สินเพิ่มมูลค่า ไปสร้างทรัพย์สินเพิ่มมูลค่า ยิ่งรวยๆๆๆๆ

v ถนนของของคนจน
Ø เริ่มต้นสบาย สุดท้ายลำบาก
v ถนนของของคนรวย
Ø เริ่มต้นลำบาก สุดท้ายสบาย

v ขั้นตอนเป็นคนรวย

1.เปลี่ยนความคิด เรื่องทรัพย์สินและหนี้สิน

รายรับ คือ เอาเงินเข้ากระเป๋าตังค์ เรียกว่า ทรัพย์สิน
รายจ่าย คือ เอาเงินออกจากกระเป๋าตังค์เรียกว่า หนี้สิน

2. แยกให้ออกว่าอะไรเป็นทรัพย์สินเพิ่มมูลค่า หรือเสื่อมมูลค่า
ü ทรัพย์สินเพิ่มมูลค่า คือ ได้มาแล้วเพิ่มมูลค่าให้เรา เช่น
v ซื้อที่ดินมา 5 แสนบาท ทิ้งไว้ 1 ปี ขายได้ 6 แสนบาท
v ซื้อทองมา 1 บาท ราคา 11800 บาท เก็บไว้ 1 ปี ราคา 12500 บาท
ü ทรัพย์สินเสื่อมมูลค่า คือ ได้มาแล้วมูลค่ามีแต่ลดลง เช่น
v ซื้อรถยนต์มาราคา 6 แสนบาท ขับได้ 3 ปี
ขายได้ 3 แสน มูลค่าลดลง 3 แสนบาท แถมต้องเติมน้ำมันอีก

v ซื้อโทรศัพท์มาราคา 12000 บาท เวลาขายคืนได้
แค่ 4500 บาท ไหนจะเสียค่าโทรอีก

v ซื้อมอเตอร์ไซด์ 5 หมื่นบาท เวลาขายต่อ 2 หมื่น

ยังหาคนซื้อต่อยากเลย

« ซื้อที่ ซื้อทอง เอาเงินฝากธนาคาร ต้องเสียเงินซื้อถ่าน เติมน้ำมัน ใส่น้ำ หรือเสียบปลั๊กหรือเปล่าครับ ถ้าไม่ต้องก็แสดงว่าเป็นทรัพย์สิน และมันต้องเพิ่มมูลค่าไปเรื่อยๆนะครับ

« ซื้อถ้วยโถโอชามของ รักของสะสม ไม่ต้องเติมน้ำมัน ไม่ใส่ถ่าน ไม่เสียบปลั๊กให้มันก็จริง วันนึงขายจะได้กำไรมากกว่าฝากธนาคารไหมครับ ถ้าไม่มันก็จะเป็นทรัพย์สินเสื่อมมูลค่า หรือไม่ก็แค่มีค่าทางจิตใจ บางทีก็เป็นแค่ ขยะรกบ้านเราเท่านั้นเองนะครับ ขายใครก็ไม่มีใครเอา เพราะเราสะสมคนละรสนิยมกัน

3.ลดรายจ่าย ตัวเอง และครอบครัวก่อน
หลายคนคิดว่า ถ้าจะรวยต้องหารายได้ เพิ่มแต่เพียงอย่างเดียว เป็นความคิดที่ล้าสมัยแล้วครับ สิ่งเดียวที่ทำได้ก่อนหารายได้ คือการลดรายจ่าย เริ่มจากรายจ่ายที่เกิดขึ้นกับ ตัวเราเองก่อน เราใช้เงินวันละเท่าไร และสิ่งที่เราใช้มีประโยชน์ ผลตอบแทน หรือคุ้มค่ากับเรามากแค่ไหน รายจ่ายอะไรที่เราลดได้ลดได้เท่าไร วิธีการลดทำอย่างไรต่างหาก ที่ทำได้ง่ายที่สุด ต่อมาหาทางลดรายจ่ายของครอบครัวครับ แล้วค่อยไปขั้นตอนหารายได้เพิ่ม อย่าลืมนะครับ ลดรายจ่ายก่อนหารายได้ครับ

ü หลักการง่ายๆของการลดรายจ่ายมีหลายแบบครับ

« ลดความสมบูรณ์แบบของชีวิต

ชีวิตของแต่ละคนจำเป็นต้องสมบูรณ์แบบไปเสียทุกด้านหรือไม่ครับลองนึกดูนะ เราจำเป็นต้องใช้สิ่งของที่สามารถทำทุกอย่างได้ในตัวเดียวกันหรือเปล่าครับ ยกตัวอย่างเช่น คุณจำเป็นต้องใช้โทรศัพท์ที่ต้องถ่ายรูปได้ ฟังเพลงได้ ส่ง MMS ได้ ต่อ INTERNET ได้ สายเข้าเป็นเสียงเพลงได้ หรือเปล่าครับถามตัวเราเองว่าถ้าไม่มีสิ่งเหล่านี้เราจะลำบากไหมครับ ตอบแทนก็ได้นะครับ แทบไม่ลำบากเลย แต่การมีสิ่งเหล่านี้ซิลำบาก

Ä ลำบากอย่างไรหรือครับ

โทรศัพท์ที่ทำได้ครบทุกอย่างที่ว่ามา ราคาเท่าไรครับ หมื่นกว่าบาท หลายคนต้องผ่อน เดือนละพันกว่าบาท ถามว่าแล้วใช้สิ่งที่ว่ามาวันละกี่ครั้งครับ แล้วใช้เพื่อประโยชน์อะไรครับเพื่อความบันเทิง เพื่อความเท่ หรือเพื่อให้รูว่าฉันก็มีเหมือนกัน หรือฉันมีดีกว่าของเธอ บางคนซื้อมาทำอะไรไม่เป็นครับ โทรเป็นอย่างเดียวแบบนี้เรียกว่าไม่คุ้มค่าเอามากๆ เครื่องละพันกว่าบาทก็ทำได้ครับไม่ต้องเสียตังค์เป็นหมื่นด้วยครับ

Ä ลดต้นทุนชีวิต

ลดต้นทุนชีวิต จะคล้ายๆกับลดคุณภาพชีวิตนั้นแหละครับข้อนี้ต้องทดลองทดสอบดูนะ ยกตัวอย่างเช่น ข้าวสารที่คุณซื้อมาหุงทานอยู่ทุกวันนี้เป็นข้าวหอมมะลิอย่างดี ราคา 5 กิโล 105 บาท คุณลองหาข้าวสารที่ราคาถูกกว่านี้ แต่ความอร่อยใกล้เคียงเดิมแต่ราคาถูกลง มาทาน หากคุณลองซื้อมาแล้วคุณทานได้ไม่แตกต่างจากเดิมมากนัก แต่ราคา 85 บาท คุณลดต้นทุนชีวิตคุณได้ ต่อข้าวสาร 5 กิโล 20 บาทแล้วนะครับ แล้วเดือนหนึ่งครอบครัวคุณทานข้าวกี่กิโลครับลองคิดดู

4. หารายได้เพิ่ม
การหารายได้เพิ่มมีหลายช่องทางครับ เช่น ทำ OT. ซื้อของมาขาย เอาเงินฝากธนาคาร เล่นหุ้น ทำกิจการส่วนตัว แล้วแต่จะทำกันนะครับ สิ่งที่สำคัญในการหารายได้เพิ่ม คือความรู้ เราต้องรู้ก่อนว่าช่องทางนั้นๆ เราจะมีผลได้ผลเสียอย่างไร จะไม่สำเร็จได้หากเราไม่มีความรู้เรื่องนั้นๆ มีข้อแนะนำเกี่ยวกับการหารายได้เพิ่มไว้ดังนี้ครับ

Ä ต้องกำไรตั้งแต่ตอนซื้อ ไม่ใช่กำไรตอนขาย

ตัวอย่างเช่น เราซื้อทองมาเก็บไว้ 1 ปี เรามีกำไรแน่ๆเพราะทองส่วนมากมีแต่ขึ้นไม่ค่อยจะลดเท่าไร แต่ต้องเป็นทองคำแท่งนะครับไม่ใช่ทองรูปพรรณ เนื่องจากทองคำแท่งไม่ต้องเสียค่ากำเหน็จครับ

อะไรที่ขาดทุนตั้งแต่ตอนซื้อนะหรือครับ อะไรก็ได้ที่ซื้อด้วยอารมณ์ ไม่ได้ซื้อด้วยเหตุผลครับ เพราะซื้อแล้วใช้ประโยชน์ไม่คุ้มขายต่อราคาตกแน่ๆครับ ขาดทุนตั้งแต่ตอนซื้อ

Ä ใช้สมองหารายได้

เงินอยู่ระหว่างทางที่เราผ่านไป ผ่านมาทุกวัน

แต่เราไม่สามารถเก็บได้ เพราะเราไม่รู้วิธีเก็บ มาเป็นของเราเท่านั้นเอง

เป็นคำกล่าวที่เฉียบคมมากครับ การที่เราจะรายได้เพิ่มนั้นนอกจากเราจะต้องมีความรู้แล้ว เราต้องมีความคิดที่ดีพอที่จะหารายได้ด้วยนะครับ หลายคนอยากเป็นเจ้าของกิจการ รู้อย่างเดียวว่าต้องใช้เงินลงทุน ไม่คิดว่าเงินนั้นจะต้องทำอย่างไรมา บางคนไปกู้เงินมาลงทุน ไหนจะต้องรับภาระดอกเบี้ยเงินกู้ ไหนจะต้องรับ ภาระปัญหากิจการอีกหลายอย่าง

กิจการล้มไม่เป็นท่ามานักต่อนักแล้วครับ ถ้าเป็นเงินเย็นก็ดีไปล้มก็ไม่ต้องเป็นภาระใช้หนี้สินต่อ เริ่มต้นใหม่ได้ไม่ยาก

Ä มีข้อแนะนำครับ

เราอย่าพึ่งคิดว่าเราจะต้องเป็นเจ้าของกิจการอะไร เพียงแต่เราคิดว่าเราลงทุนอะไร ได้ผลตอบแทนคุ้มกับเงินที่เราลงทุนหรือไม่ ดีกว่า ตัวอย่างเช่น เราซื้อของมาขายชิ้นหนึ่งต้นทุน 20 บาท เราขายในราคา 25 บาท กำไร 5 บาท ได้กำไร 25 % เชียวนะครับ

ค่อยๆ ทำ ค่อยๆฝึก คนรวยเคยกล่าวไว้ว่า

ก้าวแรกของการทำธุรกิจคือ ก้าวเล็กๆ ของเด็กน้อยนะครับ

เพราะเด็กน้อยจะค่อยๆก้าว ค่อยๆก้าว ใจเย็นๆ ค่อยเป็นค่อยไป มั่นใจกว่ากันเยอะครับ ขอเพียงแค่เรามีความรู้ ความพยายาม ก็จะไปได้ดีครับ เมื่อเราชำนาญ มีประสบการณ์แล้วค่อยก้าวแบบผู้ใหญ่ครับ ก็ไม่สายครับ


กรุงโรมไม่ได้สร้างเสร็จ ภายในวันเดียว

ที่มา: Forward Mail

เหตุผลที่ไม่อยากไปเยี่ยมบ้านคนรวย

เหตุผลที่ไม่อยากไปเยี่ยมบ้านคนรวย (ขำขัน)

ฉาก : ห้องรับแขกโซฟาหนังแท้เครื่องเรือนเป็นประกายแสบตา)
(ตัวละคร : ป๋ม กับเพื่อนเศรษฐี)

เพื่อน : นายจะดื่มอะไร น้ำผลไม้ โซดา ชา โกโก้ ช็อคโกแลตหรือกาแฟ?
ป๋ม : ขอชาแล้วกัน
เพื่อน : เอาซีลอน หรือชาสมุนไพร หรือเอาบุช >ผสมน้ำผึ้งดีมั้ยหรือเอาชาเย็น หรือชาเขียว
ป๋ม : เอาซีลอน
เพื่อน : เอาแบบไหนเหรอ ใส่นมหรือไม่ใส่
ป๋ม : ใส่นมด้วยแล้วกัน
เพื่อน : เอานมแพะ นมอูฐ หรือนมวัว
ป๋ม : นมวัวดีกว่า
เพื่อน : เอานมจากวัวฟรีซแลนด์หรือวัวแอฟริกาเน่?
ป๋ม : เอ่อ... ไม่ต้องใส่นมก็ได้
เพื่อน : อยากได้หวานแบบไหนล่ะ ใส่น้ำตาลหรือว่าน้ำผึ้ง?
ป๋ม : น้ำตาลดีกว่า
เพื่อน : น้ำตาลบีทหรือน้ำตาลอ้อย?
ป๋ม : น้ำตาลอ้อย
เพื่อน : เอาแบบขาว หรือแดง หรือว่าเหลือง?
ป๋ม : ... นายลืมเรื่องชานี่ซะเถอะ ขอน้ำสักแก้วก็พอว่ะ
เพื่อน : จะเอาน้ำแร่หรือน้ำกลั่น?
ป๋ม : น้ำแร่
เพื่อน : เอาแต่งรสด้วยมั้ย? หรือว่าไม่?
ป๋ม : หิวน้ำจะตายอยู่แล้วโว้ย !!!
เพื่อน : ???? (ก็แค่ถาม)
เพื่อน:แล้วจะใส่แก้วทรงไหนดีล่ะ แก้วใส ขุ่น / ทรงยุโรปทรงไทย หรือ ทรงแขกดี
ป๋ม:เอ่อ...ที่มันใส่น้ำแล้วไม่รั่วก็ได้นะจะดีมากถ้ามีน้ำแข็งด้วย
เพื่อน:อ่า เอาน้ำแข็งแบบไหนดี ทุบละเอียดหรือก้อนกลม(ยูนิค)
ป๋ม:กลมๆละกัน
เพื่อน:เอาแบบใหญ่ๆ หรือ เล็กๆดีล่ะ
ป๋ม:เอาว่าใส่น้ำแล้วมันเย็นอ่ะ
เพื่อน:จานรองแก้วล่ะ เอาเป็นไม้ หรือ สแตนเลสดี
ป๋ม:สแตนเลสเนอะ
เพื่อน:กลมๆ หรือ สี่เหลี่ยม
ป๋ม:เดี๋ยวกูไปแดกน้ำที่บ้าน เดี๋ยวมา (อยากจะชกซัก 1ที)
เพื่อน:............ผิดอารายอ่า........
เพื่อน : จะไปยังไง เอาเบนซ์หรือเปอโยต์ไปดี งิงิ..
ป๋ม : เดี๋ยวนั่งรถเมล์ไปก็ได้
เพื่อน : ไปรถ ปอ.ธรรมดา หรือ รถ ปอ. NGV ล่ะ
ป๋ม : งั้นตูเดินไปดีฝ่า....

End .....

ที่มา : forward mail

คนจน กับ คนรวย

คนจน กับ คนรวย

คนจน บางคนรู้ และ บางคนไม่รู้ ว่าตัวเองต้องการอะไร
แต่ก็ (ไม่ลงมือทำอะไร หรือ ไม่รู้วิธีหาเอามา)
คนรวย รู้ว่าตัวเองต้องการอะไร และ (รู้วิธีหาเอามา)



ที่มา : http://math.kanuay.com/wbshow.php?nf=0264

ลักษณะเด่นของคนรวย

ทุกปีสื่อมวลชนไม่ว่าสาขาไหนๆ มักกระตือรือร้นกระจายข่าวผลสำรวจ ความมั่งคั่งของมหาเศรษฐีทั้งไทย และต่างประเทศเป็นประจำ เพราะนอกจากจะเป็นข่าว ที่คนอยากรู้แล้ว ของแบบนี้ยังกระตุ้นให้ผู้ได้ยินได้ฟัง อยากร่ำรวยเหมือนเศรษฐีเหล่านี้นั่นเอง


แต่ผู้หาเช้ากินค่ำอย่างพวกเรา คงรู้กันอยู่แก่ใจนะว่า การจะเป็นเศรษฐีได้ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เห็นไหมว่าโลกนี้มีมหาเศรษฐีเพียงกระจุกเดียว เมื่อเทียบกับอัตราส่วนของประชากรโลกที่มีมาก มายมหาศาล


หนำซ้ำการเป็นมหาเศรษฐีหรือเศรษฐีอะไรเนี่ย ก็มี 2 แบบซะด้วยนะ คือ รวยเพราะพ่อแม่รวยอยู่แล้ว กับ รวยเพราะสร้างเนื้อสร้างตัวด้วยตัวเอง ไม่นับพวกรวยเพราะผัวหรือเมียรวยนะ

แต่สิ่งที่สำคัญกว่าและน่าเรียนรู้จากประสบการณ์ของบรรดาเศรษฐีทั้งหลายต่างหากล่ะ ที่พวกเราควรรู้ไว้และเอาเยี่ยงอย่างคนที่รวยจากความสามารถของตัวเอง เพราะเราไม่ใช่ทายาทบ้านทรายทองนี่หว่า จะได้อยู่เฉยๆลาภก็ลอยมาหา ว่าแต่คนมีตังค์ ถ้าไม่รู้จักรักษามรดกไว้ให้ดีก็มีสิทธิ์ "สมบัติหมด" เหมือนกัน


งั้นขอพูดถึงคนที่สร้างเนื้อสร้างตัวแล้วรวยกันดีกว่า เพราะสมาชิกปากกัดตีนถีบอย่างเราๆ ท่านๆ ย่อมประสงค์อยากมั่งมี และมั่งคั่งแบบเดียวกับคนกลุ่มนี้แน่ๆ การได้เรียนรู้บทเรียนชีวิตของเศรษฐีเหล่านี้ไว้ สักวันนึงคุณอาจเป็นเศรษฐีกะเค้าบ้างก็ได้...ใครจะไปรู้ล่ะ ใช่ป่าว

ใน ประเภทของเศรษฐี (type of mil-lionaire) บอกว่า คนที่ล่ำซำมักมีสิ่งที่คล้ายคลึง กันดังนี้...


1. ทำงานหนัก ถ้าไม่ทำงานก็ไม่มีเงินสิจ๊ะ


2. ปัญญาเลิศ ดูอย่างอภิมหาเศรษฐี บิล เกต เจ้าของไมโครซอฟท์เป็นตัวอย่างละกัน รวยขึ้นมาได้เพราะมันสมองแท้ๆ


3. ใช้เวลาในการก่อร่างสร้างตัวเป็นสิบ ยี่สิบปี หรือมากกว่านั้น ไม่ใช่รวยเร็วแบบวันนี้ พรุ่งนี้ก็รวยที่ไหนล่ะ อยากรวยแบบหลังก็ไปเสี่ยงโชคเอาละกัน


4. อายุเฉลี่ยของคนรวยด้วยลำแข้ง จึงหนีไม่พ้นเลข 4 หรือเลข 5 ขึ้นไป เรียกว่า กว่าจะมีฐานะก็เข้าวัยกลาง คนขึ้นไป


5. เมื่อมีเงินแล้วก็ต้องรู้ว่า ควรนำเงินไปเก็บออมหรือลงทุนในช่องทางไหนได้บ้าง ที่จะช่วยให้เงินทองที่มีอยู่มันเขยิบเติบโตขึ้นเรื่อยๆ ที่เค้าเรียกกันว่า ให้เงินทำงานแทนเรานั่นแหละ

อย่างถ้าจะเก็บออมเงินทองไว้ในธนาคาร เพราะคิดว่าเซฟที่สุด มั่นคงที่สุดก็ทำไป แต่ควรแบ่งทรัพย์สินไปลงทุนในด้านอื่นด้วย เพราะแช่เงินไว้ในแบงก์ ก็ได้แค่ดอกฯ แล้วดอกฯมันเยอะนักเรอะ ต้องคิดเหมือนกันนะ ดังนั้น จึงควรรู้ช่องทางในการลงทุนที่ได้ผลตอบแทนที่ดีกลับมาว่างั้นเถอะ


6. ลด ละ เลิกอบายมุข เพราะไม่ว่าเหล้าหรือบุหรี่ กินมาก สูบมากก็เปลือง เอาแค่มีประสบการณ์ ไว้มั่งก็พอ สุดท้าย ขอให้ผู้อ่านรวยวันรวยคืนและรวยอย่างมีความสุขด้วย โอมเพี้ยง.

ที่มา : http://artsmen.net/content/show.php?Category=healthyboard&No=03836

โรเบิร์ต คิโยซากิ ครูสอนคนรวย


โรเบิร์ต คิโยซากิ ครูสอนคนรวย

ชื่อนี้คงจะคุ้นหูกันดีนะครับ สำหรับคนที่ชอบอ่านหนังสือทางด้านพัฒนาตนเอง แต่สำหรับเพื่อนๆคนใดที่ยังไม่รู้จักผมจะพาไปรู้จักกับเขาดูครับ โรเบิร์ต คิโยซากิ เป็นผู้ที่นำความลับคนรวยซึ่งมักจะถูกถ่ายทอดกันมารุ่นต่อรุ่น มาเผยแพร่ให้คนทั่วไปได้ทราบกัน ผ่านหนังสือขายดีที่เรารู้จักกันดี ในตระกูลพ่อรวยสอนลูก (Rich Dad Poor Dad) ซึ่งเป็นหนังสือที่โด่งดังมาก

โรเบิร์ต ปัจจุบันนี้เป็นนักลงทุนอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งอาศัยอยู่ที่อเมริกา ในสมัยเด็กโรบิ์ตไม่ใช่คนที่เรียนเก่ง เรียกได้ว่าผลการเรียนธรรมดามากๆ บางครั้งก็มีตกบ้าง โรเบิร์ตมีพ่อ 2คน คนหนึ่งคือพ่อแท้ๆของเขา ซึ่งเขาเรียกว่าพ่อจน และอีกคนหนึ่งคือพ่อของเพื่อนสนิทของเขาที่เขาเรียกว่าพ่อรวย สาเหตุที่เขาเรียกพ่อแท้ของเขาว่าพ่อจนไม่ได้หมายความว่าพ่อแท้ของเขาจน จนไม่มีอะไรจะกินนะครับ พ่อแท้ๆของเขาเป็นอธิบดีทางด้านการศึกษา แต่ที่เขาเรียกว่าพ่อจนเพื่อเปรียบเทียบให้เห็นชัดเจนกันมากขึ้นระหว่างความคิดคนของคนสองคน พ่อรวยของเขาเป็นผู้ที่รวยที่สุดในเกาะแมนฮัตตั้น

ในสมัยที่เขายังเป็นเด็ก เขาได้เรียนวิชาการเป็นคนรวยจากพ่อของเพื่อนเขา ซึ่งเขาได้นำเสนอความแตกต่างของความคิดระหว่างคนจนกับคนรวยไว้ในหนังสือของเขา (ผมขอยกตัวอย่างบางประการแล้วกันนะครับ เพราะถ้าให้กล่าวอย่างละเอียดคงต้องอธิบายกันหลายหน้า) เช่น คนจนเวลาเจอของที่อยากได้มักจะบอกกับตัวเองว่า เราไม่มีเงินซื้อ แต่คนรวยเมื่อเจอของที่อยากได้มักจะตั้งคำถามว่า เราจะซื้อมันได้อย่างไร? คนจนมักจะคิดว่า เราทำไม่ได้ แต่คนรวยมักจะคิดว่าทำอย่างไร โรเบิร์ตยังกล่าวอีกว่าความแตกต่างระหว่างคนจนกับคนรวยไม่ได้แตกต่างกันนิดเดียวนะครับ แต่ว่าความคิดคนทั้ง2ประเภทนี้ แตกต่างกันจนอยู่คนละด้านเลย

โรเบิร์ตบอกว่าคนจนส่วนใหญ่จะชอบบอกว่าคนรวยเห็นแก่ตัว แต่ที่จริงแล้วคนรวยส่วนใหญ่มีน้ำใจเป็นผู้ให้ในขณะที่ คนจนส่วนใหญ่จะเห็นแก่ตัว หลายคนอ่านมาถึงตรงนี้แล้วอย่าพึ่งงงนะครับ เพราะคุณโรเบิร์ตกล่าวว่า คนจนเห็นแก่ตัวก็เพราะชอบเรียกร้องสิทธิต่างๆมากมายจากรัฐบาลเช่นให้ช่วยเหลือสิ่งนั้น ให้ช่วยเหลือสิ่งนี้ และจะชอบกล่าวหาว่าบริษัทให้เงินเดือนน้อย ใช้งานหนัก ไม่ยอมปรับตำแหน่งให้เลย(คุณโรเบิร์ตก็เคยเป็นพนักงานประจำมาก่อนและไม่ได้ร่ำรวยมาก่อน) ซึ่งจริงๆแล้วบุคคลเหล่านี้ไม่ได้ลองคิดเลยว่าคุณทำสิ่งต่างๆเพื่อบริษัทบ้างหรือยัง โรเบิร์ตบอกว่าที่คนรวยส่วนใหญ่เป็นคนมีน้ำใจก็เพราะว่าคนรวยชอบช่วยเหลือผู้อื่น ยิ่งธุรกิจใดช่วยเหลือคนมากเท่าไร ธุรกิจนั้นก็ยิ่งรวย เช่นโตโยต้าที่ทำรถยนต์ราคาถูกออกมา เพื่อจะช่วยให้คนสามารถเดินทางไปยังสถานที่ต่างๆได้สะดวกมากยิ่งขึ้น


ก่อนที่โรเบิร์ต จะประสบความสำเร็จอย่างทุกวันนี้เขาก็เคยลำบากมาก่อนนะครับ เริ่มแรกเขาทำงานเป็นเซลล์ หลังจากนั้นก็ไปเป็นทหารและไปออกรบที่เวียดนาม หลังจากนั้นก็เริ่มทำธุรกิจส่วนตัว พอทำไประยะนึง ก็เกิดปัญหาขึ้นจึงต้องเลิกกิจการ กลายมาเป็นคนถังแตก เขากับภรรยาของเขาเคยเกือบจะยอมแพ้แล้ว ในเวลานั้นเขามี 2ทางเลือก 1.เดินตามความฝันสู่การเป็นเจ้าของธุรกิจต่อไป หรือ หันหลังให้ความฝันและเดินกลับไปเป็นพนักงานประจำ แน่นอนครับว่าวันนี้เขาคงรู้สึกดีมากที่ไม่ยอมแพ้กลางคัน เพราะปัจจุบันตอนนี้เขาเป็นมหาเศรษฐีแล้วครับ จากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และการเขียนหนังสือและจัดอบรมสัมมนาต่างๆ แล้วเพื่อนที่อ่านบทความนี้อยู่ล่ะครับรู้สึกเหนื่อยหรือรู้สึกท้อจากเหตุการณ์บางอย่างบ้างไหมครับ ยังไงซะก็อย่าพึ่งยอมแพ้นะครับเพราะความสำเร็จอาจจะรออยู่ตรงข้างหน้าก็ได้ ใครที่อยากทราบว่าหนังสือที่เขาแต่งเป็นอย่างไรก็ลองไปหามาอ่านกันดูได้นะครับ

ที่มา: http://www.igetweb.com/www/iteen/index.php?mo=3&art=178257

พจนานุกรม [คนรวย]

อยากให้อ่านกัน พอดีได้มาจากเว็บ http://th.w3dictionary.org ครับ
N. the rich
syn:{คนร่ำรวย}{คนมั่งมี}
ant:{คนจน}
sample:[ความแตกต่างระหว่างรายได้ก่อให้เกิดความแตกต่างระหว่างคนรวยและคนจนซึ่งนำไปสู่ความแตกต่างในด้านต่างๆ ในสังคมได้]

N. wealthy person
def:[ผู้ที่มีฐานะทางเศรษฐกิจดี]
syn:{เศรษฐี}{ผู้ร่ำรวย}{ผู้มั่งมี}
ant:{คนจน}
sample:[คนรวยมักใช้เงินฟาดหัวเพื่อตัดปัญหาอุปสรรคต่างๆ]

Dictionary [คนรวย]

วิธีหางานแบบคนรวยเพื่อน

...การเป็นคนรวยเพื่อนมักจะได้เปรียบในการหางานเสมอ..

นับวันงานก็ยิ่งหายากมากขึ้น คนที่อยากได้งานทำก็ต้องขยันกันหน่อย นอกจากต้องหมั่นเข้าเว็บไซต์หางานแล้ว อาจต้องหาตัวช่วยอื่นๆ ด้วย เพื่อนๆ ของคุณ รวมถึงคนรู้จัก
คนคุ้นเคยก็สามารถเป็นตัวช่วยให้คุณได้ เพียงคุณขอให้พวกเขาช่วยเป็นหูเป็นตาในการหางานให้คุณ เห็นประกาศรับสมัครงานในตำแหน่งที่น่าสนใจที่ไหนให้ช่วยบอกคุณด้วย
หรือหากในบริษัทของเพื่อนๆ คุณมีการรับสมัครงานแบบภายใน ให้เขานึกถึงคุณด้วย

และการที่คุณได้ป่าวประกาศให้เพื่อนๆ ของคุณรับรู้ว่าคุณกำลังหางานอยู่ เป็นการเปิดโอกาสให้ตัวเองได้รับข่าวสารเกี่ยวกับงานมากขึ้น ซึ่งอาจทำให้คุณได้รับข้อมูลดีๆ จากเพื่อน
ของคุณก็ได้

ต่อไปนี้เป็น Tip ในการหางานแบบคนรวยเพื่อน มาดูกันว่าคุณต้องทำอย่างไรบ้าง

ป่าวประกาศ บอกกับทุกคนที่คุณรู้จักว่าคุณกำลังหางานอยู่ ยิ่งมีคนรู้จักมาก ยิ่งมีคนช่วยมองหางานมาก ถ้าคุณหางานแบบเงียบๆ ไม่บอกกล่าวใครเลย ก็จะมีแค่ตัวคุณเพียงคนเดียวกับ 2 หู 2 ตา
ที่จะรับทราบข่าวสารต่างๆ แต่ถ้ามี 20 คน คุณก็จะมีโอกาสได้งานเพิ่มขึ้นอีก 20 เท่าเลยทีเดียว
บอกด้วยว่าคุณอยากได้งานประเภทไหน เพื่อนคุณจะได้ช่วยหาให้ถูก
ยินดีที่จะรับฟังคำแนะนำ มีเรื่องอะไรที่อยากรู้ ก็ถามเอาจากเพื่อนๆ ผู้มีประสบการณ์ เพื่อนๆ ของคุณจะเป็นแหล่งข้อมูลเกี่ยวกับอาชีพที่คุณต้องการได้ดี การได้พูดคุยและเปลี่ยนความคิดเห็น
และประสบการณ์กับคนที่ทำงานในลักษณะเดียวกับคุณ จะช่วยเปิดโลกทัศน์คุณให้กว้างขึ้นอีก นอกจากนี้คุณยังจะได้ข้อมูลเกี่ยวกับแนวโน้มของตลาดแรงงานที่น่าสนใจ เพราะคนที่ทำงานแล้ว
จะให้คำแนะนำกับคุณได้ว่า อาชีพที่คุณมองหากำลังเป็นที่ต้องการเพียงใดในตลาดแรงงาน และอาจให้คำแนะนำเกี่ยวกับทางเลือกอื่นๆ ของคุณได้ด้วย และเมื่อพวกเขาให้คำแนะนำ จงรับฟังพวกเขา
เกรงใจเพื่อนของคุณด้วย อย่าให้เรื่องของคุณไปกินเวลาของเพื่อนมากเกินไป หรือคาดหวังว่าเขาต้องช่วยเหลือคุณอย่างเต็มที่
ขอให้เพื่อนของคุณแนะนำคนอื่นให้ ถ้าเพื่อนของคุณไม่สามารถช่วยคุณได้ ลองถามเขาว่า มีคนอื่นที่พอจะให้คำแนะนำแก่คุณได้หรือไหม อาจจะขอแค่ชื่อกับเบอร์โทรศัพท์แล้วคุณไปติดต่อเองก็ได้
เพื่อไม่ให้เป็นการรบกวนเพื่อนของคุณมากเกินไป
รักษาสัมพันธภาพกับทุกคน ทั้งเพื่อนสนิท เพื่อนไม่สนิท เพื่อนของเพื่อน และคนเคยรู้จัก แล้วพลังของการบอกปากต่อปากจะช่วยคุณ โดยที่คุณคาดไม่ถึงเลยล่ะ
ได้เห็นแล้วนะคะว่า ยิ่งคุณรู้จักคนมากเท่าไหร่ คุณก็ยิ่งได้เปรียบมากเท่านั้น แต่อย่าลืมสิ่งหนึ่งที่สำคัญ ถึงคุณจะมีเพื่อนมากมายเพียงใด ถ้าคุณลืมพกฝีมือในการทำงานไปด้วย เพื่อนเป็นร้อย
ก็ช่วยอะไรคุณไม่ได้

ที่มา : http://th.jobsdb.com/TH/TH/V6HTML/JobSeeker/Article/May08_02.htm

วิธีคิดของคนรวย

คุณเคยสงสัยกันบ้างไหมว่า ทำไมคนรวยถึงได้โคตรรวย ทำไมคนจนถึงได้โคตรจน คนธรรมดาแค่พอมีกินมีใช้ แต่ทำไมไม่รวยสักทีหนอ ทั้งๆที่เราก็ทำงานหามรุ่ง หามค่ำกัน ปัจจัยหนึ่งที่เป็นตัวลิขิตให้เราประสบความสำเร็จทางด้านการเงินนั้นก็คือ วิธีคิดที่แตกต่างกันเรื่องเงินทอง หรืออาจจะจริงหนอ ลองคิดกันดู สมมุติแล้วกันทำงานมีเงินเก็บเดือนละ 10,000 บาท 1 ปี 120,000 แล้วเงินล้านบาทล่ะ เราต้องใช้เวลาเก็บถึง 10 ปีเลยหรือ ไม่เบื่อเป็นมนุษย์เงินเดือนกันบ้างเหรอไงครับ วิธีเดียวที่จะช่วยให้เรารวยขึ้นได้ก็คือต้องปรับเปลี่ยนวิธีคิดและทัศนคติของเราเสียใหม่ เพราะความคิดเดิม ๆ เป็นอุปสรรคต่อความร่ำรวยครับ จากหนังสือ "ถอดรหัสลับ สมองเงินล้าน" หนังสือดี ๆ ที่คนอยากรวยต้องอ่านกัน ไม่ได้ค่าโฆษณานะครับ แต่อยากแนะนำ มีขายตามร้านหนังสือทั่วไป

17 ความต่างของวิธีคิดและการกระทำระหว่าง คนรวย คนจน และชนชั้นกลาง


1. คนรวยเชื่อว่า "ฉันกุมชะตาชีวิตของตนเอง" คนจนเชื่อว่า "ฉันถูกลิขิตให้เป็นอย่างนี้"

2. คนรวยเล่นเกมการเงินเพื่อเอาชนะ คนจนเล่นเกมการเงินเพื่อไม่ให้แพ้

3. คนรวยทุ่มเทเพื่อความรวย คนจนแค่อยากรวย

4. คนรวยคิดการใหญ่ คนจนคิดการเล็ก

5. คนรวยมุ่งความสนใจไปที่โอกาส คนจนมุ่งความสนใจไปที่อุปสรรค

6. คนรวยชื่นชมผู้ร่ำรวยปละประสบความสำเร็จคนอื่น ๆ คนจนชิงชังผู้ร่ำรวยและประสบความสำเร็จ

7. คนรวยคบหาสมาคมกับคนที่มองโลกในแง่ดีและประสบความสำเร็จ คนจนขลุกอยู่กับคนที่มองโลกในแง่ร้ายหรือไม่ประสบความสำเร็จ

8. คนรวยเต็มใจโปรโมทตัวเองและคุณค่าของตนเอง คนจนมองการขายและโปรโมชั่นในแง่ลบ

9. คนรวยมองปัญหาเป็นเรื่องเล็ก คนจนมองปัญหาเป็นเรื่องใหญ่

10. คนรวยเป็นผู้รับที่ยอดเยี่ยม คนจนเป็นผู้รับที่ยอดแย่

11. คนรวยเลือกที่จะได้รับเงินตามผลงาน คนจนเลือกที่จะได้รับเงินตามระยะเวลาที่ทำงาน

12.คนรวยเลือก "ทั้งสองทาง" คนจนเลือก "ทางใดทางหนึ่ง"

13. คนรวยสนใจมูลค่าทรัพย์สิน คนจนสนใจแต่รายได้จากการทำงาน

14. คนรวยเก่งเรื่องการบริหารเงิน คนจนเก่งเรื่องการบริหารเงินแบบผิด ๆ

15. คนรวยให้เงินทำงานหนักเพื่อตัวเอง คนจนทำงานหนักเพื่อให้ได้เงิน

16. คนรวยมุ่งไปข้างหน้าแม้จะหวาดกลัว คนจนปล่อยให้ความกลัวหยุดยั้งตนเอง

17. คนรวยเรียนรู้และเติบโตอยู่ตลอดเวลา คนจนคิดว่าตัวเองรู้ดีอยู่แล้ว

ปัญหาทุกปัญหามีทางออกเสมอ เพียงแต่คุณมองไม่เห็น หรือเห็นแต่ไม่มองมัน สิ่งเดียวที่ขังคุณไว้ในปัญหาคือความคิดของคุณเอง คนแต่ละคนอาจจะมีไม่เท่ากัน แต่ทุกคนมีทุกอย่างพอในตัวเองที่จะมีชีวิตที่ดีที่สุด อย่างที่ชีวิตควรจะเป็น ชีวิตคนมีกายมีใจไม่ต่างกัน ความต่างอยู่ที่คนๆนั้นจะได้รับบทเรียนพอที่จะจริงใจกับตัวเองในการแก้ปัญหาและสร้างชีวิตใหม่หรือเปล่า หากคุณคือคนหนึ่งที่ต้องการสร้างชีวิตใหม่ กล้าที่จะเปลี่ยนความคิดใหม่ครับ "แค่เปลี่ยนวิธีคิด ชีวิตก็เปลี่ยน"


ที่มา : http://www.thaibizcenter.com

ความแตกต่าง คนรวย VS คนชั้นกลาง

คนรวย VS คนชั้นกลาง

พอดีได้อ่านบทความอันนี้แล้วรู้สึกมีประโยชน์เลยนำมาให้ เพื่อนสมาชิกได้อ่านกันครับ
ที่มา: ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร www.settrade.com
Monday, 11 February 2008

ผมได้อ่านหนังสือเล่มเล็ก ๆ เล่มหนึ่งเขียนโดย Keith Cameron Smith เรื่องความแตกต่างที่โดดเด่น 10 ข้อ ระหว่างคนรวยกับคนชั้นกลาง และเห็นว่ามันมีความเป็นจริงอยู่พอสมควรจากการสังเกตของผม ดังนั้น จึงขอนำมาเผยแพร่เพื่อที่ว่าเราจะได้รู้ว่าเราอยู่ในด้านไหนของสังคมและจะต้องทำอย่างไรเพื่อที่ว่าเราจะได้ย้ายจากการมีแนวโน้มที่จะเป็นคนชั้นกลางสู่การเป็นคนรวย
ความแตกต่างข้อแรกก็คือ เศรษฐีนั้นคิดยาวแต่คนชั้นกลางคิดสั้น ว่าที่จริงคนที่คิดสั้นที่สุดก็คือคนจน พวกเขามักจะคิดอะไรแบบวันต่อวันทำนองหาเช้ากินค่ำ คนชั้นกลางนั้นมักจะคิดเป็นเดือนต่อเดือน นั่นคือคิดถึงวันเงินเดือนออก แต่คนรวยจะต้องคิดยาวเป็นปี ๆ หรือเป็นสิบ ๆ ปี ในใจของคนจนนั้น เขามักคิดแต่เฉพาะเรื่องของความอยู่รอดเป็นหลัก ในขณะที่คนชั้นกลางคิดถึงเรื่องความสุขสบายจากการจับจ่ายใช้สอยสินค้า ส่วนคนรวยนั้น เป้าหมายของพวกเขาชัดเจน เขาต้องการความเป็นอิสระทางการเงิน การคิดยาวนั้นมีพลังมหาศาล เพราะมันจะทำให้เขาอดออมและลงทุนระยะยาวซึ่งจะทำให้เงินงอกเงยแบบทบต้นเป็นเวลานาน และนี่คือสูตรสำคัญที่สุดในการที่จะทำให้คนมั่งคั่ง

ข้อสอง คนรวยพูดเกี่ยวกับเรื่องไอเดีย คนชั้นกลางพูดเกี่ยวกับสิ่งของ และคนจนพูดถึงเรื่องของคนอื่น นี่คงไม่ได้หมายถึงว่าคนรวยไม่พูดเกี่ยวกับเรื่องของสิ่งของหรือคนอื่น แต่หมายถึงว่าคนรวยจะพูดถึงเรื่องของคนอื่นน้อยกว่าคนจนและมักจะเป็นคนที่มีแนวความคิดดี ๆ หรือมีมุมมองต่าง ๆ มากกว่าคนชั้นกลางและคนจน เบื้องหลังของนิสัยในเรื่องนี้คงอยู่ที่ว่า คนรวยนั้นมักจะมีความคิดสร้างสรรค์มากกว่าคนจนซึ่งมักจะชอบ “ซุบซิบนินทา” เป็นนิจสิน ในขณะที่คนชั้นกลางอาจจะเน้นการทำงานประจำ ชอบพูดถึงเรื่องรถยนต์ ดนตรี การพักผ่อนหย่อนใจ เป็นต้น

ข้อสาม คนรวยยอมรับการเปลี่ยนแปลง คนชั้นกลางต่อต้านการเปลี่ยนแปลง คนชั้นกลางรู้สึกว่าการเปลี่ยนแปลงจะคุกคามชีวิตความเป็นอยู่ที่ตนเองเคยชิน ในขณะที่คนรวยนั้นคิดว่าการเปลี่ยนแปลงอาจนำมาซึ่งชีวิตที่ดีกว่า เขาคิดว่าในการเปลี่ยนแปลงนั้นมักมีโอกาสที่เขาอาจจะฉกฉวยได้ เบื้องหลังนิสัยนี้อาจจะมาจากการที่คนรวยมีความมั่นใจสูงกว่าคนชั้นกลางที่มักจะกลัวว่าตนเองจะไม่สามารถปรับตัวให้เข้ากับสิ่งใหม่ ๆ ได้

ข้อสี่ คนรวยกล้ารับความเสี่ยงที่ได้มีการพิจารณาและไตร่ตรองดีแล้ว คนชั้นกลางกลัวที่จะรับความเสี่ยง นี่เป็นนิสัยที่เป็นจุดอ่อนมากที่สุดของคนชั้นกลางในความเห็นของผม คนที่ไม่ยอมรับความเสี่ยงเลยนั้นจะพลาดที่จะได้ผลตอบแทนที่ดีโดยสิ้นเชิง ในขณะที่คนที่กล้ารับความเสี่ยงอย่างที่ได้มีการศึกษามาเป็นอย่างดีจะสามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีได้โดยที่ความเสี่ยงจริง ๆ นั้นจะมีน้อยมาก ตัวอย่างที่เห็นชัดเจนที่สุดก็คือ คนชั้นกลางส่วนใหญ่นั้นมักจะกลัวการลงทุนในหุ้นหรือตราสารการเงินที่มีความผันผวนของราคาโดยที่เขาไม่พยายามศึกษาว่าในระยะยาวแล้วมันอาจจะมีความคุ้มค่ากว่าการฝากเงินในธนาคารมาก ในอีกมุมหนึ่ง คนที่กล้ารับความเสี่ยงอย่าง “บ้าบิ่น” เช่นคนที่เล่นหุ้นวันต่อวันเองก็ไม่ใช่นิสัยของคนรวย คนรวยนั้นจะต้องรับความเสี่ยงเฉพาะที่มีการพิจารณาอย่างถี่ถ้วนแล้ว

ข้อห้า คนรวยเรียนรู้และเติบโตตลอดชีวิต คนชั้นกลางคิดว่าการเรียนรู้จบที่โรงเรียน นิสัยการเรียนรู้ไปเรื่อย ๆ นี้ ผมคิดว่าเป็นหัวใจเศรษฐีจริง ๆ เพราะในความรู้สึกของผมเอง การเรียนรู้จากโรงเรียนเป็นเพียงพื้นฐานที่เรานำมาศึกษาต่อด้วยตนเองได้ และเวลาหลังจากการเรียนในโรงเรียนนั้นยาวมากเป็นหลายสิบปี ดังนั้น ความรู้ส่วนใหญ่จึงควรที่จะเกิดขึ้นหลังจากที่เราเรียนจบจากโรงเรียน โดยนัยของข้อนี้ คนรวยจึงน่าจะมีนิสัยรักการอ่านหรือการหาความรู้ต่อไปเรื่อย ๆ ในขณะที่คนชั้นกลางนั้น พอเรียนจบก็มักจะไม่สนใจอ่านหนังสือหรือหาความรู้ใหม่ ๆ และความรู้ที่ผมคิดว่าคนชั้นกลางพลาดไปเพราะไม่มีการสอนในโรงเรียนก็คือ ความรู้ทางด้านการเงินที่คนรวยมักจะศึกษาต่อเพราะเห็นถึงความสำคัญและอาจนำไปสู่ความร่ำรวยได้

ข้อหก คนรวยทำงานเพื่อหากำไร คนชั้นกลางทำงานเพื่อจะได้ค่าจ้าง คนรวยมองว่านี่คือหนทางที่จะทำให้รวยได้มากกว่าแม้ว่าจะมีความเสี่ยง ในขณะที่คนชั้นกลางนั้นมักจะไม่กล้าเสี่ยงและอาจจะมีความคิดสร้างสรรค์น้อยกว่า จึงมุ่งไปที่การหางานที่จะมีรายได้แน่นอน แต่รายได้จากการใช้แรงงานของตนเองนั้น มีน้อยคนที่จะทำให้ตนเองรวยได้

ข้อเจ็ด คนรวยเชื่อว่าพวกเขาจะต้องใจบุญสุนทาน คนชั้นกลางคิดว่าพวกเขาไม่มีปัญญาที่จะทำบุญ ข้อนี้ผมเองคงไม่มีคอมเม้นท์อะไร ส่วนหนึ่งผมเองก็ไม่แน่ใจเนื่องจากเรื่องนี้เป็นเรื่องของแต่ละคนที่ไม่ค่อยบอกหรือรู้กันยกเว้นกรณีที่เป็นการบริจาคใหญ่ ๆ อย่างกรณีของบัฟเฟตต์หรือบิลเกต

ข้อแปด คนรวยมีแหล่งรายได้หลากหลาย คนชั้นกลางมีเพียงหนึ่งหรือสองแหล่ง ข้อนี้ก็เช่นกัน ผมเองไม่แน่ใจว่าคนรวยมีรายได้จากหลายแหล่งเพราะรวยแล้วจึงไปลงทุนในทรัพย์สินหลาย ๆ อย่าง หรือมีทรัพย์สินหลายอย่างจึงทำให้รวย แต่ที่ผมเห็นชัดเจนก็คือ คนชั้นกลางนั้น มักไม่ลงทุนในทรัพย์สินที่มีความเสี่ยงทำให้รายได้มักจะมาจากเงินเดือนเป็นหลัก

ข้อเก้า คนรวยเน้นการเพิ่มขึ้นของความมั่งคั่งของตนเอง คนชั้นกลางเน้นการเพิ่มของเงินเดือน เป้าหมายของคนรวยนั้นอยู่ที่ว่าตนเองมีความมั่งคั่งเพิ่มขึ้นมากน้อยแค่ไหนโดยมองที่ภาพรวม ดังนั้น ถ้าเขามีหุ้นอยู่ การที่หุ้นมีมูลค่าเพิ่มขึ้นเขาก็มีความมั่งคั่งเพิ่มขึ้นโดยที่เขาไม่ต้องเสียภาษี แต่คนชั้นกลางพยายามทำงานเพื่อให้มีเงินเดือนสูงขึ้นแต่เขาอาจจะลืมไปว่าเขาจะต้องเสียภาษีเพิ่มขึ้นด้วย สรุปก็คือ คนรวยเน้นการลงทุนใช้เงินทำงานแทนตนเอง คนชั้นกลางเน้นการใช้แรงงานของตนเอง

สุดท้าย ข้อสิบ คนรวยชอบตั้งคำถามที่เป็นบวกและสร้างกำลังใจ เช่น ฉันจะสร้างรายได้เป็นเท่าตัวในปีนี้ได้อย่างไร? ในขณะที่คนชั้นกลางชอบตั้งคำถามที่เป็นลบและเสียกำลังใจเช่น จะหาเงินมาจ่ายหนี้ค่าบัตรเครดิตเดือนนี้ได้อย่างไร ?

และนั่นก็คือความแตกต่าง 10 ข้อระหว่างคนรวยกับคนชั้นกลางที่มีคนตั้งข้อสังเกตไว้ ซึ่งผมเชื่อว่าส่วนใหญ่น่าจะเป็นจริง แน่นอน คนรวยบางคนก็มีคุณสมบัติที่เป็นแบบคนชั้นกลาง และคนชั้นกลางจำนวนมากก็มีนิสัยแบบคนรวย แต่ถ้าเราอยากรวย ผมคิดว่า การยึดนิสัยแบบคนรวยน่าจะทำให้เรามีโอกาสมากกว่า

ที่มาอีกที : http://www.investorchart.com

อันดับคนรวยที่สุดของโลก 2550

ประจำทุกปีที่นิตยสาร “ฟอร์บส์” นิตยสารด้านเศรษฐกิจของประเทศสหรัฐอเมริกา ได้รายงานผลการจัดอันดับอภิมหาเศรษฐีทั่วโลก ซึ่งในปี 2550 ผลการจัดอันดับ เปิดเผยโดยสำนักข่าวต่างประเทศเมื่อวานนี้ (9 มี.ค.) ปรากฏว่านายบิล เกตส์ วัย 51 ปี ชาวสหรัฐฯ ผู้ก่อตั้งบริษัทไมโครซอฟท์ยังครองแชมป์เป็นบุคคลร่ำรวยที่สุดอันดับ 1 ของโลกติดต่อกันเป็นปีที่ 13 มีทรัพย์สินรวม 56,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือคิดเป็นเงินไทยราว 1,960,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว ราว 6,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ



อันดับ 2 ยังคงเป็นนายวอร์เรน บัฟเตต์ วัย 76 ปี ชาวสหรัฐฯ ประธานบริษัทเบิร์กเชียร์ ฮาธอะเวย์ อินคอร์ปอเรชั่น มีทรัพย์สิน 52,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 1,820,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมา 10,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ อันดับ 3 ได้แก่นายคาร์ลอส สลิม เฮลู วัย 67 ปี ชาวเม็กซิกัน เจ้าพ่อวงการสื่อสารโทรคมนาคม มีทรัพย์สินรวม 49,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 1,715,000 ล้านบาท อันดับ 4 นายอินกวาร์ แคมพ์ราด วัย 80 ปี ชาวสวีเดน และครอบครัว ผู้ก่อตั้งบริษัทไอเกีย มีทรัพย์สินราว 33,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 1,155,000 ล้านบาท



อันดับ 5 ได้แก่ นายลักษมี มิตทาล วัย 56 ปี ชาวอินเดีย เจ้าของธุรกิจเหล็กรายใหญ่ของโลก มีทรัพย์สิน รวม 32,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 1,120,000 ล้านบาท ตามด้วยนายเชลดอน อะเดลสัน วัย 73 ปี ชาวสหรัฐฯ เจ้าของธุรกิจบ่อนคาสิโน โรงแรม ครองอันดับ 6 มีทรัพย์สินรวม 26,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 927,500 ล้านบาท อันดับ 7 นายเบอร์นาร์ด อาร์โนลต์ วัย 58 ปี ชาวฝรั่งเศส ประธานบริษัทแอลวีเอ็มเอ็น มีทรัพย์สินรวม 26,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 910,000 ล้านบาท อันดับ 8 นายแมนซิโอ ออร์เตกา วัย 71 ปี ชาวสเปน ประธานบริษัทซารา มีทรัพย์สินรวม 24,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 840,000 ล้านบาท อันดับ 9 นายลี กา-ชิง วัย 78 ปี ชาวฮ่องกง ผู้ทรงอิทธิพลด้านธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ มีทรัพย์สินรวม 23,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 805,000 ล้านบาท และอันดับ 10 นายเดวิด ธอมสัน ชาวแคนาดาและครอบครัว ได้รับมรดกมีทรัพย์สินรวม 22,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 770,000 ล้านบาท



สำหรับคนไทยที่ติดอันดับความร่ำรวยของนิตยสารฟอร์บส์ ยังคงเป็น 3 มหาเศรษฐีคนดัง คือนายเจริญ สิริวัฒนภักดี วัย 62 ปี เจ้าของธุรกิจเบียร์ช้างและอื่นๆ ความร่ำรวยอยู่ที่อันดับ 264 มีทรัพย์สินรวม 3,400 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 119,000 ล้านบาท ร่วงจากอันดับ 214 ของปีที่แล้ว นายเฉลียว อยู่วิทยา วัย 75 ปี เจ้าของธุรกิจเครื่องดื่มกระทิงแดง ติดอันดับ 279 มีทรัพย์สินรวม 3,100 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 108,500 ล้านบาท จากอันดับ 292 ของปีก่อน และนายธนินท์ เจียรวนนท์ วัย 67 ปี เจ้าของกลุ่มธุรกิจเครือซีพี ติดอยู่ที่อันดับ 390 มีทรัพย์สินรวม 2,400 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 84,000 ล้านบาท ซึ่งปีที่แล้วอยู่ที่อันดับ 317



ฟอร์บส์ระบุว่า ในปี 2550 อภิมหาเศรษฐีทั่วโลกเพิ่มขึ้นเป็น 946 คน ทำให้ยอดทรัพย์สินโดยสุทธิเพิ่มขึ้น 35% หรือจำนวน 3.5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ขณะที่ในปีนี้มีเศรษฐีหน้าใหม่ถูกจัดอันดับโลก จำนวน 178 คน อาทิ นายโฮวาร์ด ชูลตซ์ เจ้าของร้านกาแฟชื่อดัง สตาร์บัคส์ อยู่ที่อันดับ 840 มีทรัพย์สินรวม 1,100 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 38,500 ล้านบาท นายไมเคิล ไอส์เนอร์ อดีตเจ้าของสวนสนุกวอลต์ ดิสนีย์ อยู่ที่อันดับ 891 มีทรัพย์สินรวม 1,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 35,000 ล้านบาท และนางหยาง ชุง ประธานบริษัทกระดาษไนน์ ดรากอนส์ เปเปอร์ ของจีน และเป็นบุคคลร่ำรวยที่สุดในจีน อยู่ที่อันดับ 390 มีทรัพย์สินรวม 2,400 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เท่ากับอันดับของนายธนินท์ เจียรวนนท์ เจ้าสัวเครือซีพี



นายสตีฟ ฟอร์บส์ บรรณาธิการนิตยสารฟอร์บส์ กล่าวว่า การที่มหาเศรษฐีทั่วโลกมีจำนวนเพิ่มขึ้นมาก สะท้อนถึงภาวะเศรษฐกิจโลกที่มีการเคลื่อนตัวอย่างรวด เร็ว แสดงให้เห็นการเติบโตของธุรกิจประเภทสินค้าอุปโภคบริโภค ความเจริญรุดหน้าด้านเทคโนโลยีและค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯที่อ่อนตัวลง ผู้คนจำนวนมากขึ้น มีชีวิตความเป็นอยู่ดีกว่าก่อน ความก้าวหน้าที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วนี้ ไม่ใช่เพียงแค่การบูมของสินค้าอุปโภคบริโภค ที่ทำให้ประชาชนทั่วโลกหลายร้อยล้านคน มีชีวิตความเป็นอยู่กระเตื้อง แน่นอนว่าต้องมาจากเทคโนโลยีด้วย



ขณะเดียวกัน ลุยซา ครอลล์ บรรณาธิการร่วมนิตยสารฟอร์บส์ กล่าวว่า ปีนี้นับเป็นปีที่ร้อนฉ่าสำหรับภูมิภาคเอเชีย เนื่องจากมีอภิมหาเศรษฐีเพิ่มขึ้นมาก ทั้งนี้ มหาเศรษฐีในอินเดียมีจำนวนเพิ่มเป็น 36 คน โค่นแชมป์เก่าชาติญี่ปุ่นลงไปได้ โดยญี่ปุ่นมีมหาเศรษฐีเพียง 24 คน แต่หากนำเศรษฐีในจีน 20 คน และฮ่องกง 21 คน มารวมกันแล้ว จะทำให้มีจำนวนถึง 41 คน มากกว่าอินเดีย เช่นเดียวกับสเปนและรัสเซีย ก็มีเศรษฐีหน้าใหม่จำนวนไม่น้อย โดยสเปนมีเพิ่ม 10 คน รัสเซียเพิ่ม 19 คน อย่างไรก็ดี ฟอร์บส์ให้ระมัดระวังการประเมินทรัพย์สินในรัสเซีย เนื่องจากสถานการณ์ทางเศรษฐกิจ ยังอยู่ในสถานะไม่มั่นคงนัก ส่วนในภูมิภาคตะวันออกกลาง ชาติที่มีอภิมหาเศรษฐีมากที่สุดเป็นอันดับ 1 ได้แก่ ตุรกี ตามด้วยซาอุดีอาระเบีย และอิสราเอล



รายงานข่าวยังระบุด้วยว่า อายุโดยเฉลี่ยของบรรดาอภิมหาเศรษฐีปีนี้ อยู่ที่ 62 ปี สตรีที่ร่ำรวยที่สุดของโลกได้แก่ นางลิเลียน เบตเทนคอร์ต วัย 84 ปี ชาวฝรั่งเศส บุตรสาวยูจีน ชูลเลอร์ ผู้ก่อตั้งบริษัทลอรีอัล โดยอยู่ที่อันดับ 12 มีทรัพย์สินรวม 20,700 ดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 724,500 ล้านบาท ส่วนมหาเศรษฐีอายุน้อยที่สุด ได้แก่ นายอัลเบิร์ต วอน วัย 23 ปี ชาวเยอรมัน ทายาทมรดกทั้งสังหาริมทรัพย์และอสังหาริมทรัพย์ มูลค่า 2,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ราว 70,000 ล้านบาท อยู่ที่อันดับ 488 ปัจจุบันอาศัยอยู่ในคฤหาสน์ของตระกูล เมืองรีเกนสเบิร์กและไม่เคยทำงาน

ที่มา : http://www.vcharkarn.com/vcafe/138672

เคล็ดลับความสำเร็จของคนรวยที่สุดในโลก

เคล็ดลับความสำเร็จของคนรวยที่สุดในโลก

สมหวัง วิทยาปัญญานนท์

6 เมษายน 2547




เคล็ดลับของ บิล เกตส์ ที่ก้าวขึ้นมาเป็นมหาเศรษฐี 10 ประการ ดังนี้

1. จังหวะชีวิตที่ถูกกาลเวลา

2. หลงรักเทคโนโลยีอยู่สูงสุด

3. บดขยี้คู่แข่งเพื่อชัยชนะในธุรกิจ

4. เลือกจ้างคนที่มีความฉลาดหลักแหลม

5. เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ตลอดเวลา เพื่อความอยู่รอดของบริษัท

6. อย่าคาดหวังว่าจะไม่มีศัตรูในธุรกิจ

7. จะต้องเป็นผู้นำที่มีวิสัยทัศน์ และเข้าใจธุรกิจอย่างแท้จริง

8. สร้างเครือข่ายให้ครอบคลุมทั่วทุกพื้นที่

9. สร้างบรรยากาศการทำงานแบบบริษัทเล็กๆ

10. อย่าประมาท

RichMan Strategy
ที่มา : http://www.budmgt.com/topics/top01/richmanstrategy.html

5 วิธีรวยในทันที โดยไม่ต้องทำงานเพิ่ม

วิธีที่เราจะรวยในทันที โดยไม่ต้องทำงานเพิ่ม ไม่ต้องทำอะไรเพิ่มก็คือ วิธีรวย ด้วยการเปลี่ยนวิธีคิดของเรา ลองมาดูกัน

1. ด้วยรายได้เท่าเดิมเนี่ย

แต่เราลองคิดว่าตอนนี้เรารวยแล้ว เนี่ยแหละครับแค่เนี่ย เราก็รวยแล้วในนาทีนี้เลย ไม่ต้องไปรอตอนไหน แต่ต้องใช้อย่างไม่ฟุ่มเฟือยนะครับ รวยแล้วไม่จำเป็นต้องฟุ่มเฟือย วิธีคิดอย่างนี้ จะทำให้เกิดความพอใจในตนเอง พอใจในรายรับของตนเอง ทำให้เกิดความสุขขึ้น ทำให้การจับจ่ายใช้สอยเป็นไปตามความต้องการจริงๆของเรา ในทางตรงกันข้ามกัน ในคนที่คิดกดดันตนเองว่า ตนนั้นจน นั้น ก็จะพยายามใช้จ่ายบางอย่าง ที่ไม่ได้เป็นความต้องการจริงๆของตน แต่เป็นไปเพื่อลดปมด้อยว่านี่ฉันซื้อสิ่งนี้ ฉันรวยแล้ว ซึ่งนั่นจะเป็นหนทางที่ทำให้จนจริงๆ เนื่องจาก เป็นการใช้จ่าย ที่ไม่ตรงความต้องการแท้จริง ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์แท้จริง และ เกินฐานะแท้จริงของตนลองนำวิธีคิดนี้ไปใช้ดู คงไม่มีใครว่าครับ

2. ย้ายไปอยู่ประเทศที่ค่าเงินต่ำกว่าเรา

เช่น ลาว เขมร กัมพูชา หรือ เปรียบเทียบใกล้เคียงก็คือ ไปอยู่ต่างจังหวัด ก๋วยเตี๋ยว ชามนึงในกรุงเทพ อาจจะซื้อ ได้ สองชามในต่างจังหวัด หรือ สาม สี่ ชามที่ลาว เขมร

3. ลดรายจ่ายในการทำกิจกรรมต่างๆ

โดยเป้าหมายกิจกรรมยังเหมือนเดิม แต่ใช้รายจ่ายต่ำสุด ผลลัพธ์อาจใกล้เคียงกัน หรือ อาจดีกว่า เช่น อยากไปเที่ยวมัลดีฟก็เปลี่ยนเป็น ไปเที่ยวเกาะ สมุย พัทยา แทน จุดประสงค์ ไปเที่ยวยังเหมือนเดิม ยังได้ไปพักผ่อนเหมือนเดิมแต่รายจ่ายลดลง หรือ อยากกินเฟรนฟรายก็ ไปกินมันทอดแทน สารอาหาร รสชาด ไม่หนีกันเท่าไร อาจได้ปริมาณมากกว่าด้วย

4. เข้าวัดศึกษา พระธรรมให้มาก

ทำให้ปัญญาเกิดขึ้น ก็จะไม่ค่อยรู้สึกเรื่องเหล่านี้มาก เข้าใจว่า รวยจน ก็คือ อุปทานอย่างนึง ความสงบ จากวัด ก็ทำให้เกิดความสุขอีกแบบ

5. ทำทาน ช่วยคนยากจน

คนรวยจริง ต้องช่วยเหลือ คนยากจนได้ อันนี้เป็นสมบัติที่แสดงว่าเรามีเงินเหลือ กิน เหลือเก็บ จนสามารถไปเผื่อแผ่ คนอื่นได้อย่างแท้จริง ถ้าคุณสามารถทำทาน ช่วยเหลือคนอื่นได้ ก็ถือว่าคุณรวยแล้วละครับ

ลองนำวิธีเหล่านี้ไปใช้ดู คุณสามารถรวยได้ทันที ณ บัดนี้เลย ---***เพี้ยง



สนับสนุนข้อคิดนานาสาระโดย: คุณปัญญา ขจัดกิเลส
ที่มา : http://variety.teenee.com/foodforbrain/3424.html

วิธีรวย 8 ประการ .. จากนสพ.เดลินิวส์

วิธีรวย 8 ประการ .. จากนสพ.เดลินิวส์

...

(ก้อปจากคอลัมน์เข็มทิศการลงทุน นสพ.เดลินิวส์ 15, 22 ธ.ค.2550)

ความร่ำรวยย่อมจะเป็นที่ปรารถนาและความใฝ่ฝันของคนทั้งโลก แต่การได้มาซึ่งเงินตราและทรัพย์สินนั้นมีทั้งวิธีการรวยแบบรวดเร็ว แบบทางลัด และรวยแบบเชื่องช้าที่ต้องประกอบไปด้วยความหมั่นพียรในการหาความมีวินัยในการเก็บหอมรอมริบ และประการสุดท้ายคือการทำให้งอกเงย

ในยุคค่านิยมของสังคมที่ยกย่อง และนับถือคนรวยนั้นจะทำให้เกิดค่านิยมที่น่าเป็นห่วงคือ ทำอะไรก็ได้ วิธีใดก็ได้ขอให้รวย ไว้ก่อน แล้วอำนาจและความเคารพนับถือจะ ตามมาเอง และคนส่วนหนึ่งจึงกระทำทุกวิถีทางเพื่อให้รวย ซึ่งได้มีเพื่อนส่งสรุปวิธีการ 8 ประการหลักที่นำไปสู่ความร่ำรวยของคนในสังคม อันนี้สามารถใช้ได้เป็นสากล ไม่เฉพาะกรณีของประเทศหนึ่งประเทศใด สิ่งที่ต่างคือในประเทศที่พัฒนาแล้วคนที่รวยแบบที่ไปที่มาไม่โปร่งใสจะไม่ได้การยอมรับจากประชาชน และการจะเป็นบุคคลสาธารณะหรือนักการเมืองจะต้องมีการตรวจสอบ

1. แต่งงานกับคนรวย สิ่งที่ต้องแลกเปลี่ยน คือ การแต่งงานกับคนที่มีฐานะร่ำรวย แต่อาจต้องใช้ชีวิตอยู่กับคนที่ไม่ได้รัก เป็นความรวยที่ต้องจ่ายด้วยราคาที่แพงมากเลยล่ะ แต่สำหรับคนบางคนแล้วอาจบอกว่าช่างมันฉันไม่แคร์ ไม่ว่าคนที่จะแต่งงานด้วยนั้นจะแก่คราวใด หรือรูปโฉมจะเป็นที่ถูกใจของตนเองหรือไม่ การจะได้แต่งงานกับคนรวยได้นั้นก็คงต้องมีคุณสมบัติสำคัญ คือ มีรูปเป็นทรัพย์ คือต้องสวยหรือ หล่อ จึงจะมีสิทธิถูกหวยในการแต่งกับคนรวย ตัวอย่างที่เห็นคือบรรดานางงาม ดารา หรือนายแบบ นางแบบ เป็นต้น

2. เป็นนักต้มตุ๋น ค้ายาเสพติด คดโกง หรือเป็นอาชญากร

กลุ่มนี้จะรวยได้อย่างรวดเร็วในระยะเวลาอันสั้น เป็นกลุ่มที่ประพฤติผิดกฎหมาย หรือตามนิยามของผู้มีอิทธิพลนับตั้งแต่ ค้ายาเสพติด บ่อนการพนัน ซ่องโสเภณี หวยเถื่อน หรือค้าสินค้าผิดกฎหมาย ค้าของเถื่อนนานาประเภท เป็นวิธีการที่สร้างเงินอย่างรวดเร็ว คนกลุ่มนี้เสี่ยงต่อการถูกจับกุม จึงต้องมีการสร้างเครือข่ายกับเจ้าพนักงานของรัฐ หรือนักการเมือง หรือการเข้ามาเป็นนักการเมืองเองเพื่อให้มีอำนาจในการปกป้องคุ้มครองธุรกิจ และการรวยอีกประเภทคือ การทุจริต คอร์รัปชั่น การรวยของคนกลุ่มนี้มีผลกระทบมากต่อเศรษฐกิจของประเทศ และเป็นมะเร็งร้ายที่ทำลายความเจริญก้าวหน้าของการพัฒนาประเทศ

3. รวยเพราะถูกลอตเตอรี่

คนกลุ่มนี้เป็นผู้ที่มีโชคแต่ถ้าไม่มีแผนการว่าจะจัดการกับเงินจำนวนมหาศาลอย่างไรก็จะกลับไปจนอีกในที่สุด จะเห็นได้ว่าประชาชน ส่วนหนึ่งยังคงติดการเล่นหวยอย่างงอมแงม โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนจนและผู้มีรายได้น้อย คนกลุ่มนี้มีความหวังกับลาภลอยว่า การเล่นหวยและลอตเตอรี่จะทำให้รวยได้ โอกาสเช่นนั้นไม่ใช่ว่าจะไม่มี แต่โอกาสถูกหวยหรือร่ำรวยจาก ลอตเตอรี่ในแต่ละงวดมีอยู่อย่างค่อนข้างจำกัดมาก

4. หาทางไปเป็นดารา ศิลปิน นักกีฬาดัง ๆ

ต้องใช้ความฉลาด มีพรสวรรค์ บุคลิก ดี แต่ถ้ายังไม่มีก็ให้รีบสะสมกันเข้าไว้ที่เรียกกันว่าพรแสวง และเช่นกันคือ คนที่ได้รับการคัดเลือกจะมีจำนวนจำกัด นอกจากนี้แล้วจะ มีระยะเวลาการทำงานไม่ยาวนานนัก เพราะจะมีคลื่นลูกใหม่ขึ้นมาทดแทนอยู่ตลอดเวลา โดยเฉพาะในวงการแสดงดังที่เราจะเห็นว่าดารา เด็ก ๆ อายุเพียง 20-30 ปี ก็ถูกกดดันให้รับบทแม่ เพราะเมื่อดาราหรือนักร้องเริ่มดังค่าตัวก็จะสูง ทำให้มีการปั้นดาราเด็ก ๆ ใหม่ ๆ ขึ้นทดแทนอยู่ตลอดเวลา ยกเว้นนักดนตรีหรือนักกีฬาที่ต้องมีพรสวรรค์พิเศษเฉพาะตัวที่หาคนทดแทนได้ยาก

5. รวยด้วยการเป็นคนโลภ หรือภาษาชาวบ้านเรียกว่า “งก” คุณต้องทำงานหนักขึ้นเพื่อเก็บสิ่งที่ต้องการเอาไว้คนเดียว หรือการเอารัดเอาเปรียบผู้อื่นเช่นกินข้าวร่วมกับคนอื่นแล้วไม่ยอมจ่ายหรือจ่ายน้อยกว่าคนอื่น คนอื่น ๆ ก็จะทำกับตัวคุณเช่นเดียวกัน เขาเหล่านั้นคงไม่เคยช่วยเหลือใคร การเป็นคนงกคือมักได้ของผู้อื่นจึงทำให้ไม่เป็นที่ชื่นชอบของเพื่อนฝูง คนไม่ค่อยคบหาสมาคมด้วย 6. รวยได้ด้วยการอยู่อย่างยากไร้ (ภาษาชาวบ้านเรียกว่า “ขี้เหนียว”)

การมีชีวิตที่ยากไร้และตายอย่างอนาถา เป็นโศกนาฏกรรม แต่การอยู่อย่างขัดสน กระเบียดกระเสียร แต่ตายอย่างร่ำรวย ถือเป็นความวิกลจริตทางจิตและเป็นคนกลุ่มที่มีกรรมเก่า คนกลุ่มนี้จะมีความสุขอยู่กับการเห็นตัวเลขเงินฝากที่อยู่กับธนาคาร แต่ไม่น่าจะมีความสุขเพราะเงินที่หามานั้นไม่ได้ใช้ทำให้ตัวเองมีความเป็นอยู่ในมาตรฐานที่ควรจะเป็น เงินที่หามานั้นจะให้ไว้สำหรับคนอื่นใช้ซึ่งคนร่ำรวยจากประเภทนี้มีอยู่ค่อนข้างมากเป็นบุคคลที่น่าสงสารยิ่งและเป็นคนที่เบียดเบียนตนเอง

7. รวยโดยอาศัยความเฉลียวฉลาดทางการเงิน และความรู้ในด้านเจ้าของกิจการและนักลงทุน สิ่งที่ต้องเสียไปเพื่อแลกกับอิสรภาพทางการเงินก็คือ เวลาและการทุ่มเททำงานอย่างหนักเพื่อให้ได้มาซึ่งการศึกษาสูง ๆ มีประสบการณ์ จนกว่าจะมีความฉลาดทางการเงิน กลุ่มนี้จะมีทั้งนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จในการคิดหาผลผลิตใหม่ ๆ มีการตลาดหรือมีจุดขายที่ตอบสนองความต้องการของตลาดได้แต่ก็มีอีกกลุ่มหนึ่งที่ใช้ความรู้ และโอกาสที่มากกว่าคนอื่นในการแสวงกำไร หรือการเก็งกำไรในการค้าเงิน หรือ เล่นหุ้น

8. รวยด้วยการเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่คือ กลุ่มที่ร่ำรวยโดยการให้กับคนอื่นในรูปการให้ความช่วยเหลือผู้อื่น บุคคลที่ทำได้เช่นนี้จะรวยมากกว่าที่คาดฝันไว้เสียอีก กลุ่มนี้ก็จะเป็นคนที่ถ้าหากหาปลามาได้ ก็จะทำเป็นอาหารและแจกจ่ายให้กับญาติพี่น้องและเพื่อนฝูง และจะได้รับผลตอบแทนกลับคืนมาคือความช่วยเหลือจากญาติพี่น้องและเพื่อนฝูงเมื่อยามเดือดร้อนและขัดสน คนประเภทนี้จะไม่ตกอับเพราะการให้ออกไปก็จะยิ่งมีกลับมาตลอดเวลา ที่เรียกว่ายิ่งให้ออกไปมากเท่าไรก็ยิ่งจะได้กลับคืนมามากกว่าเดิม

ผู้อ่านคงต้องเลือกเอานะคะว่า จะเลือกเอาวิธีใดใน 8 วิธีข้างต้น จะรวยแบบมีคุณค่า หรือรวยแบบรวยเร็วที่ผิดศีลธรรมและการคดโกงบนความทุกข์ยากเดือดร้อนของผู้อื่น แต่เงินที่มาโดยมิชอบคงเป็นเงินร้อนที่ไม่ทำให้เจ้าของเงินอยู่เย็นเป็นสุขเพราะเกรงว่าจะถูกจับได้

แต่สิ่งที่อยากจะฝากไว้ก็คือทางสาย กลางหรือเศรษฐกิจพอเพียงที่มีความพอเหมาะพอดี สมเหตุสมผล คือการใช้จ่ายที่พอประมาณไม่ก่อให้เกิดความเดือดร้อนกับตนเองหรือครอบครัว ก็ขอฝากข้อคิดสำหรับวันนี้ไว้ว่า เงินเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตแต่เงินไม่ใช่ทุกสิ่งทุกอย่างของชีวิต.

ที่มาอีกทีหนึ่ง : http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=loykratong&month=12-2007&date=26&group=2&gblog=297

คิดแบบนี้...ถึงรวย

คิดแบบนี้...ถึงรวย

เจริญ สิริวัฒนภักดี
คนรวยแล้วยิ่งสมถะและใช้ชีวิตเรียบง่าย
กรุงเทพธุรกิจ ออนไลน์ : คุณเคยสงสัยมั้ยว่า เราก็สู้อุตส่าห์อดออม ขยันทำงานตัวเป็นเกลียว ประหยัดเอวคอดเอวกิ่ว ไม่เคยข้องแวะกับความฟุ่มเฟือย พอมีเงินก็เอาไปต่อยอดให้มันออกดอกออกผล
เรียกว่า ทำทุกอย่างตามสูตรของการเป็นเศรษฐี ปฏิบัติทุกอย่างตามคัมภีร์แห่งความมั่งคั่ง แต่จนแล้วจนรอด ก็ยังไม่ได้เป็นเจ้าของสรรพนามคำว่าเศรษฐีอยู่ดี
ถ้าอย่างนั้น Fundamentals ฉบับนี้ จะพาไปแกะรอยไปดูว่าบรรดาเศรษฐีตัวจริง เขาคิดและมองกันอย่างไร ถึงได้มั่งคั่งอย่างยั่งยืนบนกองเงินกองทอง
ที.ฮาร์ฟ เอเคอร์ เจ้าของงานเขียน "เคล็ดลับทำใจให้เป็นเศรษฐีเงินล้าน: การคุมเกมสร้างความมั่งคั่ง" เชื่อว่า คนรวยคิดแตกต่างเกี่ยวกับเงิน และแต่ละคนมีแผนการเงินเฉพาะตัว ซึ่งคิดกำหนดขึ้นมาตลอดช่วงชีวิตในการลงทุนเกี่ยวข้องกับเงิน
ลองตามมาดูวิธีคิดและมุมมองแบบคนรวย ว่าเขาคิดกันอย่างไร
O คนรวยเชื่อว่าฉันสร้างชีวิตด้วยตัวเอง
พูดให้เข้าใจง่ายคือ คนที่จะรวยได้ต้องเริ่มคิดสร้างเนื้อสร้างตัวด้วยตัวเอง ไม่คิดพึ่งพิงคนอื่น สังเกตว่าพวกที่ไม่ได้เป็นเศรษฐี มักคิดแค่ว่า เราช่างโชคดีเหลือเกินที่เกิดมาบนกองเงินกองทองที่พ่อแม่สร้างไว้ให้ ไม่ต้องทำอะไรก็มีมรดกตกทอดมาจากพ่อแม่เอาไว้ให้ใช้อยู่แล้ว ไม่เห็นต้องทำอะไร ก็อยู่ได้ไปชั่วชีวิต
จะเห็นได้ว่าเศรษฐีในบ้านเราหลายคน ไม่ว่าจะเป็น"เจริญ สิริวัฒนภักดี" หรือ "เฉลียว อยู่วิทยา" ก็ล้วนแต่สร้างและสั่งสมความร่ำรวยมาด้วยตัวเองแทบทั้งสิ้น กว่าจะนอนเกลือกกลิ้งบนกองเงินกองทองเศรษฐีพวกนี้เริ่มต้นจากศูนย์และสองมือเปล่า และเป็นคนที่มีพื้นฐานครอบครัวไม่รวย
กรณีของเฉลียว เขาไม่ได้เกิดมาในชาติตระกูลของผู้มีอันจะกิน แต่เกิดมาท่ามกลางครอบครัวยากจน ทำให้เขาต้องช่วยที่บ้านทำงานมาตั้งแต่เด็กๆ ก่อนจะมาขายกระทิงแดงอย่างทุกวันนี้ เขาทั้งขายผลไม้ ขายยา และทำธุรกิจมากมายหลายอย่าง
Oมีหัวการค้าตั้งแต่เด็ก
กว่าจะมาเป็นคนที่รวยที่สุดในประเทศไทย เป็นเจ้าของเหล้าแม่โขง และเหล้าแสงโสม เบียร์ช้าง เศรษฐีแถวหน้าของเมืองไทยอย่างเจริญ เป็นคนที่มีหัวการค้าตั้งแต่เล็ก และเขาเชื่อเสมอว่า คนจะรวยได้ต้องทำการค้าเท่านั้น นั่นทำให้เขามุ่งมั่นกับการทำการค้ามาตั้งแต่เด็ก
ถึงแม้"บิล เกตส์"เจ้าของบริษัท ไมโครซอฟท์จะไม่ได้โตมาจากครอบครัวยากจน เพราะพ่อของเขาเป็นทนายและแม่เป็นอาจารย์ แต่เขาก็มีหัวการค้ามาตั้งแต่เด็กเหมือนกัน ช่วงที่เรียนอยู่เขากับเพื่อนสนิทคิดหาช่องทางหาเงิน โดยรับเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ ซึ่งทำเงินให้เขาไม่ใช่น้อยเลยสำหรับเด็กในวัย 10 กว่าปี
หรือแม้กระทั่ง "วอร์เรน บัฟเฟตต์" เป็นคนที่ขยันหาเงินมาตั้งแต่เด็ก กว่าจะมาร่ำรวยระดับโลกแบบนี้ได้ บัฟเฟตต์ก็เคยเป็นคนที่รู้จักทำมาหากินมาตั้งแต่เด็ก เขาก็เคยหารายได้จากการขายของตามบ้านและเป็นเด็กส่งหนังสือพิมพ์มาก่อน
O คนรวยเล่นเกมการเงินเพื่อชนะเท่านั้น
คนจนมักคิดแค่ว่าเล่นเกมการเงินหรือลงทุนก็ตามเพื่อไม่ให้แพ้ ตรงกันข้ามกับพวกคนรวยที่เมื่อเล่นเกมการเงินหรือลงทุน พวกเขามุ่งมั่นว่าต้องชนะเท่านั้น บิล เกตส์เป็นตัวอย่างของคนประเภทนี้ได้ดีที่สุด วิธีคิดของเขาคือ จะทำอะไรต้องชนะเท่านั้น นั่นเพราะในครอบครัวของเขาสอนให้มีนิสัยรักการแข่งขันมาตั้งแต่เด็ก
O คนรวยคิดการใหญ่ไม่มองเล็ก
ธรรมชาติของคนรวยมักจะคิดการใหญ่ แต่ถ้าเป็นคนจนจะคิดการเล็ก คนรวยไม่ได้คิดแค่เปิดร้านก๋วยเตี๋ยวเล็กๆข้างทาง แต่พวกเขาคิดเลยเถิดไปถึงร้านอาหารใหญ่ๆที่อาจจะขายแฟรนไชส์ได้ในอนาคต หรืออาจจะโกอินเตอร์ไปเปิดในต่างประเทศ
ดูอย่างบิล เกตส์เป็นกรณีศึกษา ก็จะพบว่า เขาเป็นคนที่คิดการใหญ่มาตั้งแต่เป็นวัยรุ่น สมัยที่คอมพิวเตอร์ยังไม่ใช่ของใช้ประจำบ้าน คนมีวิสัยทัศน์อย่างบิล เกตส์กลับมองออกว่า คอมพิวเตอร์จะกลายมาเป็นสิ่งสำคัญในชีวิตประจำวันของผู้คน เมื่ออ่านเกมขาด เขาจึงตัดสินใจที่จะทุ่มเทเข้ามาทำธุรกิจที่เกี่ยวพันกับคอมพิวเตอร์ จนกระทั่งประสบความสำเร็จอย่างที่หลายคนไม่คาดคิด
O คนรวยมองหาโอกาสไม่สนใจอุปสรรค
คนจนมัวแต่โฟกัสไปที่อุปสรรคและจมดิ่งอยู่กับปัญหา แต่คนรวยแม้จะถูกรุมเร้าด้วยอุปสรรคและปัญหา แต่พวกเขาจะมักจะมองหาโอกาสโดยไม่สนใจกับอุปสรรค พูดให้ชัดขึ้นคือ คนรวยมองปัญหาเป็นเรื่องเล็ก แต่คนจนมักจะมองปัญหาเป็นเรื่องใหญ่ ยิ่งกว่านั้นคือคนรวยมักจะเป็นพวกตื่นตัวและความกลัวหยุดพวกเขาไม่ได้
O คนรวยชื่นชมผู้ประสบความสำเร็จ
ลองสังเกตดูให้ดีจะพบว่า คนรวยมักจะชื่นชมคนรวยและยินดีกับผู้ที่ประสบความสำเร็จในชีวิต แต่คนจนเวลาเห็นคนรวยกว่าหรือเห็นคนอื่นได้ดีกว่ามักไม่ค่อยพอใจ
เมื่อบุรุษที่ร่ำรวยที่สุดในโลก 2 คน อย่างบิล เกตส์ กับบัฟเฟตต์พบกันเมื่อไม่กี่ปีมานี้ เขาต่างชื่นชมซึ่งกันและกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อได้พูดคุยกับบัฟเฟตต์เพียงไม่กี่ชั่วโมง บิล เกตส์กลายเป็นคนที่ศรัทธาในตัวบัฟเฟตต์อย่างมาก ฝ่ายบัฟเฟตต์เองก็นับถืออย่างบิล เกตส์เช่นกัน
O คนรวยสมาคมกับคนประสบความสำเร็จ&คิดบวก
โดยมากพวกคนรวยจะคบค้าสมาคมกับคนที่ประสบความสำเร็จ หรือคนที่คิดบวก เพราะบางทีในอนาคตอาจจะคิดหาทางเพื่อเป็นพันธมิตรทางธุรกิจกันในอนาคต ฝ่ายคนจนมักจะสมาคมกับคนคิดลบและคนที่ไม่ประสบความสำเร็จ เช่น กรณีของเจริญ เขาเป็นคนที่มีสายสัมพันธ์อย่างดีกับผู้คนในแวดวงการค้า การลงทุนในธุรกิจต่างๆ รวมไปถึง ข้าราชการ ไปจนถึงแวดวงนักการเมือง
O คนรวยเลือกทำเงินโดยไม่รอเวลา
อาจจะเป็นเพราะคนรวยมักจะคิดแล้วทำเลย ไม่ผัดวันประกันพรุ่ง ไม่รอเวลา เมื่อจังหวะมีโอกาสมา พวกเขาก็จะลงมือทำงานทำเงินทันที ตรงกันข้ามกับคนจนที่มักจะรอเวลา และผัดวันประกันพรุ่งกับทุกเรื่อง ตัวอย่างของเจริญค่อนข้างชัดเจน เขาเป็นคนที่มีความคิดแตกฉานในเรื่องการทำธุรกิจ เมื่อจะลงมือทำอะไรเขาจะคิดก่อน เมื่อคิดอย่างถ่องแท้แล้ว เขาก็จะลงมือทำ เรียกว่าเป็นคนที่ตัดสินใจเร็ว ในการทำธุรกิจ
O คนรวยคิดแบบควบคู่ไม่ใช่แค่เรื่องใดเรื่องหนึ่ง
ตัวอย่างของคนรวยหลายคน มักจะมีระบบคิดที่ไม่ใช่คิดแค่เรื่องใดเรื่องหนึ่ง แต่พวกเขาจะคิดควบคู่หลายเรื่องในเวลาเดียวกัน แต่ถ้าเป็นคนจนมักจะคิดวนอยู่เรื่องเดียว
ถ้ามองในแง่ของการทำธุรกิจ ก็จะเห็นได้ว่า เศรษฐีหลายคน อาจจะเริ่มต้นจากธุรกิจแขนงใดแขนงหนึ่ง แต่เมื่อเริ่มตั้งตัวได้ พวกเขาก็จะแตกไลน์ทำธุรกิจหลายๆอย่างในเวลาเดียวกัน
เช่นกรณีของเฉลียว ที่เมื่อพูดถึงชื่อเขา แน่นอนทุกคนคงนึกถึงกระทิงแดง แต่ทุกวันนี้เฉลียวไม่ได้ขายกระทิงแดงอย่างเดียว แต่แตกไลน์ขยายธุรกิจออกไปอย่างกว้างไกล ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจยา เครื่องดื่ม อาหาร สนามกอล์ฟ ธุรกิจพัฒนาที่ดินและอสังหาริมทรัพย์
O คนรวยเน้นหาความมั่งคั่งอื่นไม่ใช่แค่รายได้ประจำ
ข้อนี้อาจจะต่อเนื่องจากข้อที่แล้ว อย่างที่บอกว่าคนรวยไม่ได้หวังแค่รายได้จากเงินเดือนประจำ แต่พวกเขาจะมองหาอย่างอื่นที่มาเติมความมั่งคั่งให้ตัวเองด้วย แต่คนจนหวังแค่รายได้ประจำ
O คนรวยบริหารเงินได้ดี-ใช้เงินเป็น
คนรวยมักจะบริหารเงินได้ดี แต่คนจนมักจะบริหารจัดการได้ไม่ดีเท่าไหร่ อย่างเจริญ เขาไม่ใช่คนที่ประหยัดเงินท่าเดียว แต่เขาเป็นคนที่ใช้เงินเป็น และมีระบบการบริหารเงินในบริษัทได้ดี
คำว่าบริหารเงินได้ดี อาจหมายรวมไปถึงการบริหารพอร์ตการลงทุนด้วย เช่นกรณีพอร์ตการลงทุนของบัฟเฟตต์เขาก็บริหารด้วยการกระจายไปในหุ้นหลายกลุ่มหลายตัวที่เขาคิดและมองเห็นแล้วว่าพื้นฐานกิจการดี และสามารถมองเห็นที่มาที่ไปของการสร้างรายได้
ส่วนการใช้เงินเป็นนั้น แม้เศรษฐีพวกนี้จะอยู่ในภาวะร่ำรวยล้นฟ้ากันแล้ว แต่ถ้าสังเกตให้ดีก็จะเห็นว่า พวกเขาหามาได้และใช้อย่างพอดี ไม่ได้ฟุ่มเฟือยกับกองเงินกองทองตรงหน้า แถมเศรษฐีแต่ละคน เมื่อรวยมาถึงระดับหนึ่งก็มักจะทำหน้าที่เป็นผู้ให้ ด้วยการบริจาคเงินช่วยเหลือให้กับสังคมในรูปแบบต่างๆ
O คนรวยมีเงินช่วยทำงานไม่ใช่ทำงานหนักเพื่อเก็บเงิน
คนจนเอาแต่คร่ำเคร่งกับการทำงานอย่างหนักเพื่อหาเงินมาเก็บ แต่คนรวยไม่ได้เป็นแบบนั้น เมื่อทำงานหนักได้เงินมา พวกเขาใช้ให้เงินทำงานแทนพวกเขา บัฟเฟตต์เองก็เช่นกัน จริงอยู่เขาเป็นคนที่ขยันทำมาหากิน หมั่นเก็บออมเงิน และเมื่อถึงจุดหนึ่งก็นำเงินมาลงทุนเพื่อให้เงินทำงาน ซึ่งเป็นแบบนี้มาตั้งแต่เด็ก เพราะบัฟเฟตต์เริ่มซื้อหุ้นครั้งแรกเมื่ออายุ 11 ขวบ และนับจากนั้น เขาก็ให้เงินทำงานหนักกว่าเขาหลายเท่า
O คนรวยเรียนรู้อยู่ตลอดเวลา
คนจนมักจะคิดว่าฉันรู้หมดแล้ว ตรงกันข้ามกับคนรวยที่ขวนขวายหาความรู้ และมีนิสัยชอบเรียนรู้อยู่ตลอดเวลา ถ้าใครที่ติดตามหรือแกะรอยความรวยของบัฟเฟตต์ ก็จะพบว่า แม้จะร่ำรวยแล้วแต่เขาก็ยังเป็นคนที่เรียนรู้ทุกสิ่งทุกอย่าง และยังแนะนำให้ทุกคนหมั่นศึกษาหาความรู้ใส่ตัว และฝึกฝนทักษะในเรื่องต่างๆอยู่ตลอด
Oคนรวยแล้วจะยิ่งสมถะและใช้ชีวิตเรียบง่าย
ข้อสังเกตอย่างหนึ่งของบรรดาเศรษฐีคือ ยิ่งรวยมากเท่าไหร่ ยิ่งมั่งคั่งมาก พวกเขายิ่งใช้ชีวิตอย่างสมถะและเรียบง่ายมากกว่าคนที่เพิ่งรวย
ถ้าจะให้เห็นชัดเจนที่สุดคงเป็นเจ้าพ่อกระทิงแดงอย่างเฉลียว อยู่วิทยา ที่แม้ว่าเขาจะร่ำรวยระดับโลกแล้ว แต่ทุกวันนี้เขายังคงใช้ชีวิตอย่างสมถะเหมือนกับเมื่อตอนเริ่มต้นทำธุรกิจ ธรรมชาติของเขาคือความเรียบง่าย กินอยู่ง่ายๆแบบคนธรรมดาทั่วไป ใช้ข้าวของไม่ต่างจากตอนที่บุกเบิกธุรกิจ
ฝ่ายบัฟเฟตต์นั่นก็พอกัน ถึงจะมีกำไรจากการลงทุนในตลาดหุ้นอย่างมหาศาลแค่ไหน แต่เขายังคงใช้ชีวิตไม่ต่างจากมนุษย์เงินเดือนทั่วๆไป เขายังคงใช้รถคันเก่าๆเล็กๆคันเดิมแทนรถสปอร์ตสุดหรู อยู่ในบ้านหลังเก่าแทนที่จะเป็นคฤหาสน์หลังโต เงินทองและทรัพย์สินที่บัฟเฟตต์หามาได้นั้น เขาแทบไม่ได้เอามาปรนเปรอความสุขให้ตัวเองอย่างที่ควรจะเป็น แต่เมื่อถึงจุดอิ่มตัวของชีวิต ความสุขของมหาเศรษฐีอย่างเขาคือการนำเงินไปบริจาค
ทั้งหมดที่ว่านี้ คือวิธีคิดและมุมมองของผู้ร่ำรวย คุณเองก็เป็นเศรษฐีได้ ถ้าลองหยิบแง่คิดเหล่านี้ไปประยุกต์ใช้กับตัวเอง แค่พัฒนาความฉลาดทางการเงินของตัวเอง และเริ่มต้นคิดให้เหมือนกับตัวเองเป็นเศรษฐีเงินล้าน จะช่วยให้เงินไหลเข้ามาหาคุณได้เอง
โดย กาญจนา หงษ์ทอง
ที่มา : http://www.rssthai.com/reader.php?t=lifestyle&r=11892
ที่มา(ภาพ) : http://www.igetweb.com