ทำไมคนจึงอยากรวยและรวยได้อย่างไร

หนึ่งในปัญหาของเศรษฐกิจที่มีอยู่ทั่วโลก คือ ปัญหาของคนยากจนและความเหลื่อมล้ำกันของการกระจายรายได้ และมีเสียงเรียกร้องจากผู้ยากจนมาโดยตลอด ที่ต้องการให้ภาครัฐให้การช่วยเหลือด้วยมาตรการต่างๆ ซึ่งเป็นที่มาที่ไปของโครงการเอื้ออาทรต่างๆ ในสมัยหนึ่งและในรัฐบาลปัจจุบันก็กำลังจะแปลงรูปให้เป็นรัฐสวัสดิการ เนื่องจากไม่ต้องการที่จะให้มาตรการเหล่านั้น ไปเป็นเครื่องมือของบรรดานักการเมืองในอนาคต

ปัญหาความยากจนเป็นปัญหาโลกแตกที่มีอยู่ทั้งในประเทศที่ร่ำรวย หรือมหาอำนาจทางเศรษฐกิจที่เรายังเห็นคนที่ไม่มีที่อยู่อาศัยเป็นหลักแหล่ง (homeless) ที่นอนอยู่บนทางเท้า หรือริมถนน ขณะที่มหาเศรษฐีนั่งรถลีมูซีนคันยาวหลายวา ในชุดเครื่องแต่งกายและเครื่องประดับอลังการมูลค่าที่คนจนใช้กินในรอบปี หรือในประเทศยากจนในทวีปแอฟริกา ซึ่งประเทศไทยนั้นก็กล่าวได้ว่ามีพัฒนาการดีขึ้น ทั้งนี้ จากข้อมูลสำรวจภาวะเศรษฐกิจและสังคมของสำนักงานสถิติแห่งชาติ จะเห็นได้ว่าทั้งสัดส่วนและจำนวนของคนจน (ตามคำนิยามเส้นความยากจนของธนาคารโลก) ได้ลดลงมาตามลำดับ ทั้งนี้ จำนวนคนที่อยู่ต่ำกว่าเส้นความยากจนที่มีอยู่ 22.1 ล้านคน (ร้อยละ 42.21 ของประชากร) ในปี 2531 ได้ลดลงมาเหลือ 5.3 ล้านคน (ร้อยละ 5.3 ของประชากรในปี 2552) ซึ่งส่วนหนึ่งก็มาจากการที่เศรษฐกิจเติบโตได้สูง และสามารถสร้างงานรองรับแรงงานที่เพิ่มขึ้น

แต่ในขณะที่ความยากจนจะลดลงแต่ความเหลื่อมล้ำของรายได้ระหว่างของคนจนกับคนรวยกลับไม่ได้ดีขึ้น แต่กลับเลวลงด้วยซ้ำ ดังนั้น จึงเป็นปัญหาประการหนึ่งที่รัฐบาลจะต้องเร่งแก้ไขปัญหานี้ในการลดความขัดแย้งของคนในสังคม และเป็นส่วนหนึ่งของแผนปรองดองของคนในชาติ ที่เป็นสิ่งท้าทายต่อรัฐบาลนี้ หรือรัฐบาลต่อๆไป
เมื่อพูดถึงเรื่องความรวยแล้ว คนส่วนใหญ่ก็คงต้องการที่จะร่ำรวย เนื่องจากความร่ำรวยสามารถนำไปสู่ความสุขสบาย มีที่พักอาศัยที่สุขสบาย เครื่องอำนวยความสะดวกในดำรงชีวิต เช่น มีรถยนต์หรู หรือบ้างก็มีเครื่องบินส่วนตัวต่างๆ และเมื่อมีชีวิตที่สุขสบายถึงระดับหนึ่งแล้ว เงินก็สามารถนำมาซึ่งอำนาจได้ ดังนั้น จึงไม่ประหลาดใจที่คนส่วนใหญ่จะไขว่คว้าหาความร่ำรวย แต่ความร่ำรวยเองก็ไม่ได้เป็นหลักประกันถึงความสุขได้
การที่คนส่วนใหญ่ต้องการความร่ำรวย ดังนั้น เราจะเห็นในร้านหนังสือต่างๆ จะมีหนังสือเกี่ยวกับเคล็ดลับของสร้างความร่ำรวยออกมาวางขายมากที่สุด และผู้เขียนเหล่านั้นก็เป็นผู้หนึ่งที่พยายามจะขายหนังสือของตนเองในการสร้างความร่ำรวย และก็คงจะเคยได้ยินข่าวว่ามีบางคนที่ลงโฆษณาผ่านสื่อว่าถ้าอยากจะรู้ว่าทำอย่างไรจึงจะรวยให้ส่งเงิน 10 ดอลลาร์ มาให้ตามชื่อและที่อยู่นั้นๆ ทำให้ได้รับเงินจำนวนมาก
แนวความคิดเหล่านั้นเป็นการคิดนอกกรอบ ที่ต้องการสร้างความรวยด้วยวิธีทางลัดและเร็ว แต่รากฐานสำคัญของการสร้างความร่ำรวยนั้น ต้องมาจากรากฐานของการรู้จักหา รู้จักเก็บ และรู้จักการใช้เงินเป็นหลัก ที่อยากพูดถึง คือ หนังสือชายผู้ร่ำรวยมากที่สุดในบาบิโลน (the richest man in Babylon) ซึ่งถือได้ว่าเป็นหนังสือการเงินเบื้องต้น เพราะเมืองบาบิโลนเป็นเมืองที่เคยเจริญรุ่งเรืองมากที่สุดในอิรัก และเป็นเมืองที่มีความเหลื่อมล้ำทางรายได้สูงที่มีคนที่รวยมากๆ และคนจนมากๆ และคนจนนั้นก็คงครุ่นคิดอยู่ตลอดเวลาว่าเป็นเพราะพระเจ้าไม่เข้าข้างพวกเขา จึงทำให้ยากจน ซึ่งในจำนวนนี้ก็มีคนจนสองคนซึ่งเป็นเพื่อนรักกัน คนหนึ่ง คือ บันไซ ซึ่งเป็นช่างทำเก้าอี้และอีกคน ชื่อ คอบบี เป็นนักดนตรี ในวันหนึ่งได้หารือกันและได้ความคิดว่าควรจะไปถามเพื่อนคนหนึ่ง ซึ่งเป็นผู้ที่ร่ำรวยที่สุดในเมืองบาบิโลนชื่อ อาร์คาด ว่ามีเคล็ดลับอะไรจึงทำให้ร่ำรวย
(คลิกอ่านบทความ The Richest Man in Babylon นิยายปรัมปราแห่งเมืองบาบิโลน โดย นภาพร ลิมป์ปิยากร)
คำตอบของอาร์คาดที่ให้กับเพื่อนเขา ก็คือ “คนที่ไม่ร่ำรวยก็เพราะไม่เรียนรู้วิธีการสร้างความมั่งคั่ง และถ้าหากคนบางคนร่ำรวยด้วยโชคลาภ แต่หากมีการใช้จ่ายที่ไม่ดีแล้วความมั่งคั่งนั้นก็จะหมดไป ซึ่งมีคนจำนวนน้อยที่รู้จักใช้เงินอย่างชาญฉลาด และทำให้มีชีวิตที่มีความสุข” และตัวของอาร์คาดเองก็ได้เรียนรู้จากอัลกามิซ ซึ่งเป็นผู้แนะนำเขาถึงเคล็ดลับของการสร้างว่า “คนจะร่ำรวยไม่ได้ถ้าหากเขาใช้ทุกอย่างอย่างที่เขาหาได้ คนจะร่ำรวยได้ก็ต่อเมื่อเก็บรักษาเงินส่วนหนึ่งที่เขาหาได้และเมื่อมีเงิน เก็บส่วนหนึ่งแล้ว จึงนำไปลงทุนให้งอกเงย” ซึ่งก็หมายถึงการออมการลงทุน และที่แน่ๆก็คือ ถ้าหากคนบริโภคหรือใช้จ่ายเงินทุกบาททุกสตางค์ที่หาได้แล้วก็จะไม่มีทางหลุด พ้นจากความยากจนได้
ทำไมคนจึงอยากรวย : และรวยได้อย่างไร
ดร.อาภรณ์ ชีวะเกรียงไกร
กรุงเทพธุรกิจ
วันพฤหัสบดีที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ.2553

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น